Sunday, June 23, 2013

Perk Series Part-5: The end of the beginning of a cancer perk.

หนึ่งเดือนผ่านไป

หลังจากผมได้ออกไปเที่ยวกลับครอบครัวเป็นเวลาสองสัปดาห์ ผมก็กลับเข้ามาอีกครั้งพร้อมทั้งการตรวจไขกระดูกที่รอต้อนรับกลับสู่ความจริง แต่เหตุการณ์โดยรวมในช่วงที่สามของการรักษานี้ไม่ต่างกับช่วงที่สองมากนัก ตาของผมเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆจนสามารถอ่านตัวหนังสือได้บ้าง ทำให้ผมกลับมาเริ่มอ่านเอกสาร, บทความต่างที่ผมทำการถ่ายเอกสารเมื่อช่วงที่ได้อยู่ด้านนอกโรงพยาบาลและนั่งทำปริญญานิพนธ์ได้เป็นบางเวลา 

            ในเดือนนี้เองผมเริ่มได้คุยกับผู้ป่วยที่เป็นโรคเดียวกัน (ก่อนหน้านี้ผมไม่เคยเจอหรือได้ยินคนป่วยเป็นโรคเดียวกันกับผมมาก่อน) คุณลุงท่านบอกว่าท่านโดนตรวจพบเนื่องจากการตรวจร่างกายประจำปี ซึ่งไม่ได้มีอาการร้ายแรงเท่ากรณีของผมแต่อย่างใด ตอนได้คุยกับคนที่ป่วยโรคเดียวกันผมก็รู้สึกผ่อนคลายกว่าเดิมยิ่งเยอะ

              ในครั้งนี้ผมวางแผนเตรียมอุปกรณ์มาตั้งแต่ผ้าปิดตา, ที่นวดไหล่ หรือแม้กระทั่งที่อุดหู แม้ว่าจะไม่ค่อยมีประโยชน์มากเท่าไรแต่ก็ยังดีกว่าไม่มี รวมไปถึงขนมผมซื้อเฉพาะขนมที่แยกเป็นห่อพลาสติกเล็กๆที่สามารถจะทานได้ตลอดช่วงที่รักษาตัวอยู่ เมื่อเวลาผ่านไปยี่สิบวันเศษๆเช่นเคย คุณหมอก็อนุญาตให้ผมออกนอกโรงพยาบาลได้พร้อมนัดมาตรวจเพื่อเข้าพักที่โรงพยาบาลอีกรอบเมื่อพร้อม

สุดท้ายแล้ว

            เมื่อเวลาผ่านไปอย่างเร็วเหมือนโกหก ผมก็กลับมายืนอยู่ที่หน้าโรงพยาบาลอีกครั้งเป็นรอบที่สี่แต่ทว่าคราวนี้ ตึกที่เคยเป็นแค่โครงตั้งแต่วันแรกที่ผมเข้าโรงพยาบาลตอนนี้เสร็จสมบูรณ์แล้ว ผมจึงได้เข้าพักที่ตึกใหม่ที่กว้างใหญ่และสะอาดโอ่อ่าไม่แพ้โรงพยาบาลเอกชนระดับกลางๆที่กทม. ด้านล่างมีร้านสะดวกซื้อที่ใหญ่กว่าและเปิดตลอดทุกวัน (ร้านเดิมปิดวันอาทิตย์และเปิดทำการแค่ครึ่งวันเสาร์) พยาบาลในแผนกที่ผมรู้จักก็มีการโยกย้าย โดยมีพยาบาลจากแผนกอื่นรวมไปถึงพยาบาลใหม่ที่พึ่งเข้าบรรจุมาเพิ่มด้วย

            รอบนี้ผมรู้สึกว่าตัวเองพร้อมและแข็งแรงกว่าเพราะว่าเป็นเดือนสุดท้ายที่ผมต้องมาอดทนกับสภาพนี้ อีกทั้งตึกใหม่ของโรงพยาบาลยังสะดวกสบายกว่าตึกเก่าหลายเท่าตัว ไม่ว่าจะเป็นความสะอาด เครื่องอุปกรณ์อำนวยความสะดวก หรือรวมไปถึงห้องน้ำที่มีจำนวนมาก (ปกติจำเป็นต้องให้ห้องน้ำด้านนอกห้องพักซึ่งมีอยู่แค่สองจุดต่อชั้น)

มรสุมลูกแรก

            ในตอนแรกผมคาดว่าการรักษาจะเหมือนเดิมทุกประการ แต่ทว่าสิ่งที่เพิ่มเข้ามาคือการฉีดยาป้องกันโรคเข้าไปที่ไขสันหลัง (เปรียบเสมือนวัคซีนกันโรคมะเร็งในอนาคตไม่ให้เป็นซ้ำ) แน่นอนว่าผมกลัวเจ็บ แต่คุณหมอท่านบอกว่าเจ็บน้อยกว่าการตรวจไขกระดูกและการผ่าสายน้ำเกลือที่หัวไหล่ ผมแอบเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งแต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากนอนรับสภาพต่อไป ขณะฉีดผมต้องห้ามขยับตัวไปไหนมีบุรุษพยาบาลคอยจับตัวผมไว้ เพราะอาจจะเกิดอันตรายกับไขสันหลังซึ่งเป็นระบบประสาทของร่างกายได้ เมื่อฉีดยาชาเข้าไปแล้วไม่รู้สึกเจ็บแต่รู้สึกเย็นๆหลังแทนครับเพราะว่ามียาเข้ามา

            เมื่อเสร็จการฉีดยาดังกล่าว คุณหมอก็เตือนว่าพยายามนอนอยู่เฉยๆนะ เพราะว่าน้ำในสมองลดปริมาณลงจะทำให้รู้สึกเวียนหัวได้ง่าย (ไขสันหลังกับสมองจะเชื่อมต่อกัน) คุณหมอท่านบอกต่อไปว่าไม่เกินสองวันน่าจะกลับเป็นปกติ แต่ทว่าเคสของผมมันไม่เคยมีอะไรปกติอยู่แล้ว ในวันเดียวกันผมไม่ได้มีอาการปวดหัวแม้แต่น้อย

พอวันรุ่งขึ้นเท่านั้นเอง ไม่สามารถแม้แต่จะลุกขึ้นนั่งได้เกิน 20 วินาที ลุกขึ้นเดินหรือยืนไม่ต้องพูดถึง อาการปวดจี๊ดขึ้นหัวราวกับมีคนมาทุบอยู่ตลอดเวลาก็เกิดขึ้น ผมต้องนอนลงอยู่เฉยๆ ไม่สามารถทำอะไรอย่างอื่นได้ ทีนี้แหละครับเริ่มมีปัญหาเพราะว่าผมจะลุกขึ้นมานั่งเพื่อทานข้าวก็ไม่ได้ จะลุกออกไปเข้าห้องน้ำหรือจะล้างหน้าแปรงฟัน ต้องพยายามอดกลั้นและวิ่งไปให้เร็วที่สุด ผมต้องวิ่งออกไปแปรงฟันหนึ่งรอบแล้วกลับมานอนพักก่อน ค่อยวิ่งออกไปล้างหน้าอีกครั้ง เพราะอาการปวดหัวรุนแรงมากและยาแก้ปวดศรีษะไม่สามารถช่วยอะไรได้เลยครับ ที่ดูจะได้ผลมากที่สุดคือเอาหมอนน้ำแข็งประคบให้อาการบรรเทาลง

            ผ่านไปสามวันอาการยังไม่ดีขึ้น เนื่องจากผมไม่สามารถแม้จะลุกขึ้นนั่งได้พร้อมกับเคมีบำบัดเริ่มต้นขึ้น ผมจึงต้องของดอาหารทันที อีกทั้งในเวลาต่อมาผมมีอาการปวดหลังและไหล่แบบเดียวกับตอนเดือนแรกเนื่องจากนอนเยอะเกินไปอีกครั้ง

            ผ่านไปห้าวันอาการก็ยังไม่ดีขึ้น อีกทั้งสิ้นเดือนนั้นผมจะเป็นต้องส่งวิทยานิพนธ์ของตัวเองเพื่อให้เพียงพอต่อการจบการศึกษาในปีเดียวกันนั้นให้ได้ (ในขณะอยู่ในขั้นตอนทบทวนและแก้ไขเท่านั้นครับ) ผมไม่มีทางเลือกจึงฝืนตัวเองโดยการนอนพิมพ์ครับ (แบบเดียวกับที่หลายๆคนชอบนอนเล่นคอมบนเตียง แต่ผมเป็นนอนอ่าน และทำวิทยานิพนธ์ที่เหลืออยู่ด้วยสภาพแบบนั้นครับ) พยาบาลมาเห็นก็ตกใจไปตามๆกัน เมื่อมานึกถึงตอนนี้ยังแอบตลกตัวเองว่าผมเองก็ค่อนข้างฝืนตัวเองเหมือนกันใช่ย่อย แต่ทำไงได้อะครับถ้าผมไม่ฝืนผมก็เรียนไม่จบนะครับ

ยังไม่หมด

            เมื่อผ่านมาครึ่งเดือน ผมก็แอบนึกว่าจะไม่มีอะไรแย่ไปกว่านี้แล้วและคงอยู่อีกไม่กี่วันก็คงได้ออกแล้ว (เดือนที่สองกับเดือนที่สามอยู่แค่ประมาณยี่สิบวันเศษๆเท่านั้น) ที่ผมเกริ่นมาแบบนี้ ผมมีอาการใหม่เข้ามาคือท้องเสียครับ ถ่ายเหลวเหมือนท้องเสียทั่วไปอยู่ต่อเนื่องประมาณวันละ 3-5 รอบในวันแรกๆที่เริ่มออกอาการ ไม่มีเลือดเหมือนตอนล้มป่วยก็จริงแต่มันทำให้ผมไม่มีแรง ผมได้บอกพยาบาลและคุณหมอไปแล้ว แต่ไม่ทันการครับ

ช่วงหัวค่ำเวลาประมาณสองทุ่มคืนหนึ่งผมรู้สึกท้องเสียอีกครั้งจึงตรงไปห้องน้ำ แต่อาการปวดหัวข้างต้นยังไม่หายดี ผมนั่งอดทนกับอาการปวดหัวบนชักโครก และผมหมดสติล้มลงในห้องน้ำตอนลุกขึ้นหลังจากถ่ายเสร็จ เป็นอีกครั้งที่ผมจำอะไรไม่ได้เลย ผมรู้สึกตัวอีกครั้งตอนที่ตัวเองนอนอยู่กับพื้นห้องน้ำ เจ็บแปลบๆที่บริเวณหน้าผาก แว่นตาหล่นอยู่ข้างๆ ร่างกายชุ่มไปด้วยเหงื่อและมีเสียงตะโกนของพยาบาลพร้อมเสียงเคาะประตูอย่างต่อเนื่องถามว่า “คุณชัยๆ เป็นอะไรมั้ย” (ที่ญี่ปุ่นจะเรียกชื่อคนด้วยชื่อสกุล แต่ด้วยชื่อสกุลผมยาวจึงเรียกว่าคุณชัยแทน)  พอผมรู้สึกตัว ผมรวบรวมสติหยิบแว่นข้างๆ พร้อมเดินไปปลดล็อกประตูห้องน้ำและเอามือพยุงตัวเองไว้กับกำแพง

พยาบาลตกใจมากพร้อมพยุงผมกลับไปที่เตียง และยื่นเอาน้ำแข็งมาให้ประคบแผลที่หัวที่ปูดออกมาจากการล้มกระแทกหัวฟาดพื้น ห้ามไม่ให้ผมลุกเดินไปไหนคนเดียว ในตอนหลังผมทราบว่าคุณลุงเพื่อนร่วมห้องต้องการจะออกไปเข้าห้องน้ำ แต่ได้ยินเสียงล้มดังโครมในห้องน้ำจึงกดเรียกพยาบาลอย่างเร่งด่วน (ผมรอดมาได้ก็ต้องขอบคุณคุณลุงคนนั้นมากครับ) เมื่อเห็นว่าผมมีอาการท้องเสีย คุณหมอจึงสั่งจ่ายยาแก้ท้องเสียให้ทาน

ท้องไม่เสียแล้วแต่ไหงกลายเป็นท้องผูก

            ผมทานยาแก้ท้องเสียไปได้สองวัน การถ่ายอุจจาระลดลงก็จริง แต่กลายเป็นว่าผมถ่ายไม่ออกครับ อาการมันกลายเป็นท้องผูกแทน ซึ่งไม่ใช่ท้องผูกธรรมดาเพราะว่าผมปัสสาวะธรรมดายังแทบไม่ได้ด้วย บางครั้งถึงกลับต้องยืนอยู่หน้าชักโครกถึง 20 นาทีเพื่อปัสสาวะที่ปวดจัดๆหนึ่งครั้ง และเดินเข้าออกห้องน้ำหลายๆครั้งเนื่องจากไม่สามารถถ่ายอุจจาระได้ คุณหมอจ่ายยาถ่ายให้แล้วสองถึงสามครั้ง แต่ยาที่ว่าไม่ได้ผลแต่อย่างใดจึงต้องเปลี่ยนเป็นยาที่ทำให้อุจจาระอ่อนตัวแทนเพื่ออาจจะทำให้ถ่ายได้บ้าง (รวมไปถึงป้องกันการเกิดแผลที่บริเวณทวารเนื่องจากเกล็ดเลือดมีปริมาณที่ต่ำเหมือนก่อนหน้า)

            ผมเริ่มถ่ายได้บ้างแต่น้อยมากๆต่อวัน ทำให้เหมือนทุกอย่างสะสมอยู่ในร่างกายผมปวดบริเวณช่วงล่างของร่างกายมาก แต่ว่าทำอะไรไม่ได้นอกจากนอนนับวันอดทนต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งผมมีอาการคันอย่างมากที่บริเวณทวารหนัก คุณหมอบอกว่าเคมีบำบัดทำให้ร่างกายอ่อนแอ และเป็นนี่อีกอาการที่ไม่เคยเจอมาก่อน จึงทำได้แค่ออกยาทาให้ผมเท่านั้น ถ้าหากเป็นหนักหรือนานกว่านี้จะเรียกคุณหมอที่เชี่ยวชาญด้านนี้มาตรวจให้

มรสุมทิ้งทวน

            รอบนี้เป็นเหมือนการทิ้งทวนจริงๆครับ เพราะว่าการทำเคมีบำบัดในครั้งนี้คาดว่าเป็นครั้งที่รุนแรงที่สุด ทำให้ร่างกายผมไม่ยอมฟื้นฟูปริมาณเม็ดเลือดต่างๆซะที อาการที่ผมไม่อยากให้มันกลับมาคือไข้ขึ้นครับ ไข้ขึ้นทั้งๆที่อาการปวดหัวก่อนหน้านี้ยังไม่หายไป ทีนี้แหละครับหัวแทบจะระเบิดตลอดเวลา ลุกขึ้นนั่งก็ไม่ได้ต้องนอนพลิกไปมาอย่างเดียว ลองจินตนการอาการข้างต้นทุกอย่างรวมกันดูนะครับ ทานข้าวก็ไม่ได้ ถ่ายก็ไม่ได้ หัวยังจะปวดแล้วมีไข้อีก

            ช่วงนี้ผมทำได้อย่างเดียวคือนอนพยายามไม่ให้ตัวเองตื่นครับ ตื่นแล้วก็ขอหลับต่อเพื่อไม่ให้รู้สึกอาการต่างๆ คุณหมอก็ได้แต่บอกว่าเร็วๆนี้จะดีขึ้นแต่ไม่สามารถบอกกำหนดได้ บอกได้แค่ว่า  ”เคมีบำบัดครั้งนี้รุนแรงกว่าครั้งอื่นเยอะ ต้องอดทนหน่อยนะ”

ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง
            สี่สิบวันเศษผ่านไปตั้งแต่เข้ารับการรักษาในรอบสุดท้ายนี้ (กินเวลาสองเท่าของเดือนที่สอง) ผ่านมรสุมหลายสิบลูก วันที่ผมรอคอยมาตลอดครึ่งปี ใช่แล้วครับคุณหมอเดินเข้าห้องมาแล้วบอกว่า “กลับบ้านกันเถอะ”

            ไชโย!!! แม้ว่าผมคาดเดาคำพูดของคุณหมอได้จากผลการตรวจเลือดที่ผมคอยดูอยู่ทุกๆครั้ง แต่ผมรู้สึกดีใจมากจนตัวสั่น ผมได้กลับมาหายจากทุกๆอย่างเป็นปกติและได้ออกจากโรงพยาบาลเมื่อวันที่ 12 ก.ค. คุณหมอนัดให้มาตรวจอีกรอบในอีกสองสัปดาห์หน้าและบอกทิ้งไว้ว่ายังเหลือการตรวจไขกระดูกอีกครั้งหนึ่งเมื่อร่างกายกลับมาเป็นปกติแล้วค่อยตรวจ แต่วันนั้นผมไม่ได้สนใจอะไรแล้วครับ คิดแค่ว่าไม่ต้องกลับมานอนในโรงพยาบาลอีกครั้งก็ดีใจสุดๆแล้ว

            เมื่อตรวจอีกเลือดสองครั้งก็ทราบว่าผมต้องทานยาที่เคยทานอยู่สองสัปดาห์ในรอบทุกๆสามเดือนเป็นเวลาสองปี พร้อมทั้งตรวจเลือดระวังไว้ คุณหมอบอกไว้ว่าแม้ว่าโอกาสจะป่วยซ้ำประมาณ 15 เปอร์เซ็นต์แต่คุณหมอท่านก็ทำให้ผมโล่งใจโดยการยืนยันว่าตั้งแต่เป็นหมอมายังไม่เคยเจอคนไข้ที่มีอาการเป็นซ้ำมาก่อน (เฉพาะในประเภทของผมเท่านั้น)

            ถึงตอนนี้ไม่รู้จะบรรยายความรู้สึกยังไงต่อไปละครับ ขอขอบคุณทุกคนที่คอยช่วยเหลือและให้กำลังใจผมมาตลอด และทุกคนที่อ่านถึงตอนจบนะครับ

.....The End of The Beginning




            

No comments:

Post a Comment