หนึ่งเดือนผ่านไป
หลังจากผมได้ออกไปเที่ยวกลับครอบครัวเป็นเวลาสองสัปดาห์
ผมก็กลับเข้ามาอีกครั้งพร้อมทั้งการตรวจไขกระดูกที่รอต้อนรับกลับสู่ความจริง
แต่เหตุการณ์โดยรวมในช่วงที่สามของการรักษานี้ไม่ต่างกับช่วงที่สองมากนัก ตาของผมเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆจนสามารถอ่านตัวหนังสือได้บ้าง
ทำให้ผมกลับมาเริ่มอ่านเอกสาร,
บทความต่างที่ผมทำการถ่ายเอกสารเมื่อช่วงที่ได้อยู่ด้านนอกโรงพยาบาลและนั่งทำปริญญานิพนธ์ได้เป็นบางเวลา
ในเดือนนี้เองผมเริ่มได้คุยกับผู้ป่วยที่เป็นโรคเดียวกัน (ก่อนหน้านี้ผมไม่เคยเจอหรือได้ยินคนป่วยเป็นโรคเดียวกันกับผมมาก่อน) คุณลุงท่านบอกว่าท่านโดนตรวจพบเนื่องจากการตรวจร่างกายประจำปี ซึ่งไม่ได้มีอาการร้ายแรงเท่ากรณีของผมแต่อย่างใด ตอนได้คุยกับคนที่ป่วยโรคเดียวกันผมก็รู้สึกผ่อนคลายกว่าเดิมยิ่งเยอะ
ในเดือนนี้เองผมเริ่มได้คุยกับผู้ป่วยที่เป็นโรคเดียวกัน (ก่อนหน้านี้ผมไม่เคยเจอหรือได้ยินคนป่วยเป็นโรคเดียวกันกับผมมาก่อน) คุณลุงท่านบอกว่าท่านโดนตรวจพบเนื่องจากการตรวจร่างกายประจำปี ซึ่งไม่ได้มีอาการร้ายแรงเท่ากรณีของผมแต่อย่างใด ตอนได้คุยกับคนที่ป่วยโรคเดียวกันผมก็รู้สึกผ่อนคลายกว่าเดิมยิ่งเยอะ
ในครั้งนี้ผมวางแผนเตรียมอุปกรณ์มาตั้งแต่ผ้าปิดตา,
ที่นวดไหล่ หรือแม้กระทั่งที่อุดหู
แม้ว่าจะไม่ค่อยมีประโยชน์มากเท่าไรแต่ก็ยังดีกว่าไม่มี รวมไปถึงขนมผมซื้อเฉพาะขนมที่แยกเป็นห่อพลาสติกเล็กๆที่สามารถจะทานได้ตลอดช่วงที่รักษาตัวอยู่
เมื่อเวลาผ่านไปยี่สิบวันเศษๆเช่นเคย
คุณหมอก็อนุญาตให้ผมออกนอกโรงพยาบาลได้พร้อมนัดมาตรวจเพื่อเข้าพักที่โรงพยาบาลอีกรอบเมื่อพร้อม
สุดท้ายแล้ว
เมื่อเวลาผ่านไปอย่างเร็วเหมือนโกหก
ผมก็กลับมายืนอยู่ที่หน้าโรงพยาบาลอีกครั้งเป็นรอบที่สี่แต่ทว่าคราวนี้ ตึกที่เคยเป็นแค่โครงตั้งแต่วันแรกที่ผมเข้าโรงพยาบาลตอนนี้เสร็จสมบูรณ์แล้ว
ผมจึงได้เข้าพักที่ตึกใหม่ที่กว้างใหญ่และสะอาดโอ่อ่าไม่แพ้โรงพยาบาลเอกชนระดับกลางๆที่กทม.
ด้านล่างมีร้านสะดวกซื้อที่ใหญ่กว่าและเปิดตลอดทุกวัน (ร้านเดิมปิดวันอาทิตย์และเปิดทำการแค่ครึ่งวันเสาร์)
พยาบาลในแผนกที่ผมรู้จักก็มีการโยกย้าย
โดยมีพยาบาลจากแผนกอื่นรวมไปถึงพยาบาลใหม่ที่พึ่งเข้าบรรจุมาเพิ่มด้วย
รอบนี้ผมรู้สึกว่าตัวเองพร้อมและแข็งแรงกว่าเพราะว่าเป็นเดือนสุดท้ายที่ผมต้องมาอดทนกับสภาพนี้
อีกทั้งตึกใหม่ของโรงพยาบาลยังสะดวกสบายกว่าตึกเก่าหลายเท่าตัว
ไม่ว่าจะเป็นความสะอาด เครื่องอุปกรณ์อำนวยความสะดวก
หรือรวมไปถึงห้องน้ำที่มีจำนวนมาก
(ปกติจำเป็นต้องให้ห้องน้ำด้านนอกห้องพักซึ่งมีอยู่แค่สองจุดต่อชั้น)
มรสุมลูกแรก
ในตอนแรกผมคาดว่าการรักษาจะเหมือนเดิมทุกประการ
แต่ทว่าสิ่งที่เพิ่มเข้ามาคือการฉีดยาป้องกันโรคเข้าไปที่ไขสันหลัง (เปรียบเสมือนวัคซีนกันโรคมะเร็งในอนาคตไม่ให้เป็นซ้ำ)
แน่นอนว่าผมกลัวเจ็บ
แต่คุณหมอท่านบอกว่าเจ็บน้อยกว่าการตรวจไขกระดูกและการผ่าสายน้ำเกลือที่หัวไหล่
ผมแอบเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งแต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากนอนรับสภาพต่อไป ขณะฉีดผมต้องห้ามขยับตัวไปไหนมีบุรุษพยาบาลคอยจับตัวผมไว้
เพราะอาจจะเกิดอันตรายกับไขสันหลังซึ่งเป็นระบบประสาทของร่างกายได้ เมื่อฉีดยาชาเข้าไปแล้วไม่รู้สึกเจ็บแต่รู้สึกเย็นๆหลังแทนครับเพราะว่ามียาเข้ามา
เมื่อเสร็จการฉีดยาดังกล่าว
คุณหมอก็เตือนว่าพยายามนอนอยู่เฉยๆนะ
เพราะว่าน้ำในสมองลดปริมาณลงจะทำให้รู้สึกเวียนหัวได้ง่าย (ไขสันหลังกับสมองจะเชื่อมต่อกัน)
คุณหมอท่านบอกต่อไปว่าไม่เกินสองวันน่าจะกลับเป็นปกติ แต่ทว่าเคสของผมมันไม่เคยมีอะไรปกติอยู่แล้ว
ในวันเดียวกันผมไม่ได้มีอาการปวดหัวแม้แต่น้อย
พอวันรุ่งขึ้นเท่านั้นเอง
ไม่สามารถแม้แต่จะลุกขึ้นนั่งได้เกิน 20 วินาที ลุกขึ้นเดินหรือยืนไม่ต้องพูดถึง อาการปวดจี๊ดขึ้นหัวราวกับมีคนมาทุบอยู่ตลอดเวลาก็เกิดขึ้น
ผมต้องนอนลงอยู่เฉยๆ ไม่สามารถทำอะไรอย่างอื่นได้ ทีนี้แหละครับเริ่มมีปัญหาเพราะว่าผมจะลุกขึ้นมานั่งเพื่อทานข้าวก็ไม่ได้
จะลุกออกไปเข้าห้องน้ำหรือจะล้างหน้าแปรงฟัน
ต้องพยายามอดกลั้นและวิ่งไปให้เร็วที่สุด ผมต้องวิ่งออกไปแปรงฟันหนึ่งรอบแล้วกลับมานอนพักก่อน
ค่อยวิ่งออกไปล้างหน้าอีกครั้ง เพราะอาการปวดหัวรุนแรงมากและยาแก้ปวดศรีษะไม่สามารถช่วยอะไรได้เลยครับ
ที่ดูจะได้ผลมากที่สุดคือเอาหมอนน้ำแข็งประคบให้อาการบรรเทาลง
ผ่านไปสามวันอาการยังไม่ดีขึ้น
เนื่องจากผมไม่สามารถแม้จะลุกขึ้นนั่งได้พร้อมกับเคมีบำบัดเริ่มต้นขึ้น ผมจึงต้องของดอาหารทันที
อีกทั้งในเวลาต่อมาผมมีอาการปวดหลังและไหล่แบบเดียวกับตอนเดือนแรกเนื่องจากนอนเยอะเกินไปอีกครั้ง
ผ่านไปห้าวันอาการก็ยังไม่ดีขึ้น
อีกทั้งสิ้นเดือนนั้นผมจะเป็นต้องส่งวิทยานิพนธ์ของตัวเองเพื่อให้เพียงพอต่อการจบการศึกษาในปีเดียวกันนั้นให้ได้
(ในขณะอยู่ในขั้นตอนทบทวนและแก้ไขเท่านั้นครับ) ผมไม่มีทางเลือกจึงฝืนตัวเองโดยการนอนพิมพ์ครับ
(แบบเดียวกับที่หลายๆคนชอบนอนเล่นคอมบนเตียง แต่ผมเป็นนอนอ่าน และทำวิทยานิพนธ์ที่เหลืออยู่ด้วยสภาพแบบนั้นครับ)
พยาบาลมาเห็นก็ตกใจไปตามๆกัน เมื่อมานึกถึงตอนนี้ยังแอบตลกตัวเองว่าผมเองก็ค่อนข้างฝืนตัวเองเหมือนกันใช่ย่อย
แต่ทำไงได้อะครับถ้าผมไม่ฝืนผมก็เรียนไม่จบนะครับ
ยังไม่หมด
เมื่อผ่านมาครึ่งเดือน
ผมก็แอบนึกว่าจะไม่มีอะไรแย่ไปกว่านี้แล้วและคงอยู่อีกไม่กี่วันก็คงได้ออกแล้ว
(เดือนที่สองกับเดือนที่สามอยู่แค่ประมาณยี่สิบวันเศษๆเท่านั้น) ที่ผมเกริ่นมาแบบนี้
ผมมีอาการใหม่เข้ามาคือท้องเสียครับ ถ่ายเหลวเหมือนท้องเสียทั่วไปอยู่ต่อเนื่องประมาณวันละ
3-5 รอบในวันแรกๆที่เริ่มออกอาการ
ไม่มีเลือดเหมือนตอนล้มป่วยก็จริงแต่มันทำให้ผมไม่มีแรง
ผมได้บอกพยาบาลและคุณหมอไปแล้ว แต่ไม่ทันการครับ
ช่วงหัวค่ำเวลาประมาณสองทุ่มคืนหนึ่งผมรู้สึกท้องเสียอีกครั้งจึงตรงไปห้องน้ำ
แต่อาการปวดหัวข้างต้นยังไม่หายดี ผมนั่งอดทนกับอาการปวดหัวบนชักโครก และผมหมดสติล้มลงในห้องน้ำตอนลุกขึ้นหลังจากถ่ายเสร็จ
เป็นอีกครั้งที่ผมจำอะไรไม่ได้เลย
ผมรู้สึกตัวอีกครั้งตอนที่ตัวเองนอนอยู่กับพื้นห้องน้ำ เจ็บแปลบๆที่บริเวณหน้าผาก แว่นตาหล่นอยู่ข้างๆ
ร่างกายชุ่มไปด้วยเหงื่อและมีเสียงตะโกนของพยาบาลพร้อมเสียงเคาะประตูอย่างต่อเนื่องถามว่า
“คุณชัยๆ เป็นอะไรมั้ย” (ที่ญี่ปุ่นจะเรียกชื่อคนด้วยชื่อสกุล แต่ด้วยชื่อสกุลผมยาวจึงเรียกว่าคุณชัยแทน)
พอผมรู้สึกตัว ผมรวบรวมสติหยิบแว่นข้างๆ
พร้อมเดินไปปลดล็อกประตูห้องน้ำและเอามือพยุงตัวเองไว้กับกำแพง
พยาบาลตกใจมากพร้อมพยุงผมกลับไปที่เตียง
และยื่นเอาน้ำแข็งมาให้ประคบแผลที่หัวที่ปูดออกมาจากการล้มกระแทกหัวฟาดพื้น ห้ามไม่ให้ผมลุกเดินไปไหนคนเดียว
ในตอนหลังผมทราบว่าคุณลุงเพื่อนร่วมห้องต้องการจะออกไปเข้าห้องน้ำ
แต่ได้ยินเสียงล้มดังโครมในห้องน้ำจึงกดเรียกพยาบาลอย่างเร่งด่วน
(ผมรอดมาได้ก็ต้องขอบคุณคุณลุงคนนั้นมากครับ) เมื่อเห็นว่าผมมีอาการท้องเสีย
คุณหมอจึงสั่งจ่ายยาแก้ท้องเสียให้ทาน
ท้องไม่เสียแล้วแต่ไหงกลายเป็นท้องผูก
ผมทานยาแก้ท้องเสียไปได้สองวัน
การถ่ายอุจจาระลดลงก็จริง แต่กลายเป็นว่าผมถ่ายไม่ออกครับ อาการมันกลายเป็นท้องผูกแทน
ซึ่งไม่ใช่ท้องผูกธรรมดาเพราะว่าผมปัสสาวะธรรมดายังแทบไม่ได้ด้วย
บางครั้งถึงกลับต้องยืนอยู่หน้าชักโครกถึง 20
นาทีเพื่อปัสสาวะที่ปวดจัดๆหนึ่งครั้ง
และเดินเข้าออกห้องน้ำหลายๆครั้งเนื่องจากไม่สามารถถ่ายอุจจาระได้
คุณหมอจ่ายยาถ่ายให้แล้วสองถึงสามครั้ง แต่ยาที่ว่าไม่ได้ผลแต่อย่างใดจึงต้องเปลี่ยนเป็นยาที่ทำให้อุจจาระอ่อนตัวแทนเพื่ออาจจะทำให้ถ่ายได้บ้าง
(รวมไปถึงป้องกันการเกิดแผลที่บริเวณทวารเนื่องจากเกล็ดเลือดมีปริมาณที่ต่ำเหมือนก่อนหน้า)
ผมเริ่มถ่ายได้บ้างแต่น้อยมากๆต่อวัน
ทำให้เหมือนทุกอย่างสะสมอยู่ในร่างกายผมปวดบริเวณช่วงล่างของร่างกายมาก
แต่ว่าทำอะไรไม่ได้นอกจากนอนนับวันอดทนต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งผมมีอาการคันอย่างมากที่บริเวณทวารหนัก
คุณหมอบอกว่าเคมีบำบัดทำให้ร่างกายอ่อนแอ และเป็นนี่อีกอาการที่ไม่เคยเจอมาก่อน จึงทำได้แค่ออกยาทาให้ผมเท่านั้น
ถ้าหากเป็นหนักหรือนานกว่านี้จะเรียกคุณหมอที่เชี่ยวชาญด้านนี้มาตรวจให้
มรสุมทิ้งทวน
รอบนี้เป็นเหมือนการทิ้งทวนจริงๆครับ
เพราะว่าการทำเคมีบำบัดในครั้งนี้คาดว่าเป็นครั้งที่รุนแรงที่สุด
ทำให้ร่างกายผมไม่ยอมฟื้นฟูปริมาณเม็ดเลือดต่างๆซะที
อาการที่ผมไม่อยากให้มันกลับมาคือไข้ขึ้นครับ
ไข้ขึ้นทั้งๆที่อาการปวดหัวก่อนหน้านี้ยังไม่หายไป
ทีนี้แหละครับหัวแทบจะระเบิดตลอดเวลา
ลุกขึ้นนั่งก็ไม่ได้ต้องนอนพลิกไปมาอย่างเดียว
ลองจินตนการอาการข้างต้นทุกอย่างรวมกันดูนะครับ ทานข้าวก็ไม่ได้ ถ่ายก็ไม่ได้
หัวยังจะปวดแล้วมีไข้อีก
ช่วงนี้ผมทำได้อย่างเดียวคือนอนพยายามไม่ให้ตัวเองตื่นครับ
ตื่นแล้วก็ขอหลับต่อเพื่อไม่ให้รู้สึกอาการต่างๆ
คุณหมอก็ได้แต่บอกว่าเร็วๆนี้จะดีขึ้นแต่ไม่สามารถบอกกำหนดได้ บอกได้แค่ว่า ”เคมีบำบัดครั้งนี้รุนแรงกว่าครั้งอื่นเยอะ ต้องอดทนหน่อยนะ”
ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง
สี่สิบวันเศษผ่านไปตั้งแต่เข้ารับการรักษาในรอบสุดท้ายนี้
(กินเวลาสองเท่าของเดือนที่สอง) ผ่านมรสุมหลายสิบลูก วันที่ผมรอคอยมาตลอดครึ่งปี
ใช่แล้วครับคุณหมอเดินเข้าห้องมาแล้วบอกว่า “กลับบ้านกันเถอะ”
ไชโย!!!
แม้ว่าผมคาดเดาคำพูดของคุณหมอได้จากผลการตรวจเลือดที่ผมคอยดูอยู่ทุกๆครั้ง
แต่ผมรู้สึกดีใจมากจนตัวสั่น ผมได้กลับมาหายจากทุกๆอย่างเป็นปกติและได้ออกจากโรงพยาบาลเมื่อวันที่
12 ก.ค.
คุณหมอนัดให้มาตรวจอีกรอบในอีกสองสัปดาห์หน้าและบอกทิ้งไว้ว่ายังเหลือการตรวจไขกระดูกอีกครั้งหนึ่งเมื่อร่างกายกลับมาเป็นปกติแล้วค่อยตรวจ
แต่วันนั้นผมไม่ได้สนใจอะไรแล้วครับ
คิดแค่ว่าไม่ต้องกลับมานอนในโรงพยาบาลอีกครั้งก็ดีใจสุดๆแล้ว
เมื่อตรวจอีกเลือดสองครั้งก็ทราบว่าผมต้องทานยาที่เคยทานอยู่สองสัปดาห์ในรอบทุกๆสามเดือนเป็นเวลาสองปี
พร้อมทั้งตรวจเลือดระวังไว้ คุณหมอบอกไว้ว่าแม้ว่าโอกาสจะป่วยซ้ำประมาณ 15
เปอร์เซ็นต์แต่คุณหมอท่านก็ทำให้ผมโล่งใจโดยการยืนยันว่าตั้งแต่เป็นหมอมายังไม่เคยเจอคนไข้ที่มีอาการเป็นซ้ำมาก่อน
(เฉพาะในประเภทของผมเท่านั้น)
ถึงตอนนี้ไม่รู้จะบรรยายความรู้สึกยังไงต่อไปละครับ
ขอขอบคุณทุกคนที่คอยช่วยเหลือและให้กำลังใจผมมาตลอด และทุกคนที่อ่านถึงตอนจบนะครับ
.....The End of The Beginning
No comments:
Post a Comment