ที่เดิมที่ไม่เหมือนเดิม
หลังเดินทางมาถึงโรงพยาบาลในตอนเช้าตามกำหนดการพร้อมสัมภาระที่จัดมาด้วยตัวเองราวกับมาเที่ยวค้างคืน
รวมไปถึงหมอน (ของที่โรงพยาบาลเล็กและไม่ได้ยัดด้วยนุ่นทำให้หลับไม่สบาย)
เมื่อทำเรื่องเรียบร้อยก็ขึ้นชั่งน้ำหนักก็ต้องพบกับความตกใจเล็กน้อยเพราะเพียงแค่สี่วันนอกโรงพยาบาลทำเอาน้ำหนักตัวของผมเพิ่มขึ้นถึงสี่กิโลกรัม
พยาบาลที่เดินผ่านไปมาก็ทักว่าอ้วนขึ้นรึเปล่า ทำเอาเพื่อนผมที่มาด้วยหัวเราะเยาะไม่หยุด
เมื่อนั่งรอซักพักคุณพยาบาลก็เดินมายกสัมภาระไปหนึ่งชิ้นและพูดว่า
“ทางนี้คะ”
“ไม่ใช่ห้องนี้เหรอครับ” ผมถามขึ้น พร้อมชี้ไปทางขวามือเพราะนึกว่าจะได้เข้าพักห้องเดิมที่มีอุปกรณ์ฟอกอากาศอยู่ในห้อง
“ไม่ใช่ค่ะ
เชิญทางนี้ค่ะ” พยาบาลแย้งพร้อมกับเดินนำไปในทางตรงกันข้าม
ผมเดินลากกระเป๋าเดินทางใบเล็กตามด้วยความสงสัยไปในทางเดียวกัน
หลังออกเดินซักพักก็มาถึงห้องพักรวมซึ่งใหญ่กว่าเดิมมาก
ด้านหน้ามีป้ายชื่อห้าชื่อจากหกชื่อติดอยู่ที่หน้าห้อง พยาบาลคนเดิมเดินนำผมตรงเข้าไปที่กลางห้องพร้อมผายมือว่า
“เตียงนี้ค่ะ อีกซักพักจะมีพยาบาลมาเจาะเลือดไปตรวจพร้อมทำเรื่องเอกสารต่างๆนะค่ะ
รบกวนเปลี่ยนชุดรอด้วยค่ะ” หลังจากพูดเสร็จนางพยาบาลก็รูดผ้าม่านปิดพร้อมเดินจากไป
ต้องชี้แจงว่าผมเป็นคนตื่นง่ายหลับยาก
ไม่สามารถนอนหลับได้แม้กระทั่งโทรศัพท์ที่เปิดสั่นวางอยู่บนพื้นอีกห้องติดกันยังสามารถปลุกผมตื่นได้ไม่ยาก
ในตอนนั้นผมรู้สึกกังวลพอสมควรในเรื่องนี้
หลังจากนั่งคุยกับเพื่อนของผมไปได้ซักพักก็ต้องบอกลากัน
เนื่องจากเพื่อนผมเรียนจบแล้ว (ก่อนหน้าผมหนึ่งเทอม)
กำลังจะรอรับปริญญาที่กำลังจะมีขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้าและหลังจากนั้นก็ต้องกลับประเทศไทย
“สู้ๆนะเพื่อน รีบๆหายแล้วไว้เจอกันที่ไทย”
เพื่อนของผมได้พูดส่งท้ายพร้อมเดินจากไปอีกเช่นกัน
ผมเปลี่ยนเป็นชุดนอนที่นำมาพร้อมจัดสัมภาระต่างๆเข้าตู้ที่อยู่ข้างเตียง
(ต่างจากที่ไทยตรงที่ทางโรงพยาบาลไม่มีชุดผู้ป่วยให้ครับ) จากนั้นไม่นานพยาบาลก็มาเจาะเลือดแต่เนื่องจากต้องการเก็บข้อมูลให้มากที่สุดจึงต้องเจาะไปถึงหกหลอด
ซึ่งถือว่าเยอะมากเพราะปกติจะเจาะแค่ 1-2 หลอดต่อวัน หลังจากนั้นก็ถูกถามข้อมูลต่างๆเพื่อกรอกเอกสารให้
เนื่องจากผมยังมีอาการเลือดคั่งในดวงตาที่ได้เล่าไปก่อนหน้านี้
จึงไม่สามารถจะอ่านเขียนตัวอักษรใดๆได้
เดินทางสำรวจ
ถึงตอนนี้ผมหิวน้ำ
ช่วงก่อนหน้านี้เนื่องจากผมไม่สามารถลุกเดินได้อย่างเป็นอิสระ พยาบาลเป็นคนรับฝาก ซื้อน้ำให้ตลอดเวลา
แต่คราวนี้ผมสามารถเดินได้อย่างเป็นปกติก็ต้องไปซื้อด้วยตัวเอง เมื่อออกจากห้องไปนั้น
ผมหลงทางอยู่ซักพักใหญ่ๆเลยทีเดียวครับ (ทั้งขาไปและขากลับมาที่ห้อง)
ผมไม่รู้จักแม้กระทั่งทางเดินในโรงพยาบาลที่ตัวเองอยู่มาเกินกว่าหนึ่งเดือน เพราะว่าก่อนหน้านี้ผมไม่เคยได้ก้าวออกจากห้องที่พักรักษาตัวมาก่อนเลยครับ
(ก่อนหน้านี้ตอนไปห้องตรวจต่างๆผมนั่งรถเข็นและมีพยาบาลคอยเข็นให้ตลอด)
เมื่อผมกลับที่เตียงก็พบว่าคุณหมอพร้อมกับพยาบาลกำลังตามหาผมอยู่
เพราะว่าถึงเวลาที่จะต้องสอดสายน้ำเกลือแล้วครับ ครั้งนี้ต่างจากเดิมเนื่องจากไม่มีอาการเกล็ดเลือดต่ำในขณะนั้นแล้วจึงเปลี่ยนบริเวณต้นขามาเป็นที่หัวไหล่แทนโดยคุณหมอให้เหตุผลว่าเวลาลุกนั่งจะได้สะดวกกว่า
แม้ว่าเป็นครั้งที่สองแล้วแต่ก็ยังไม่ทำให้ผมหายอาการหวาดผวาเท่าไร
“ต้องฉีดยาชามั้ย”
คุณหมอถามแถมหยอกล้อก่อนจะนำผ้ามาปิดที่ใบหน้าผม
“ไม่เอาได้ยังไงละครับ.......
” ผมรีบตอบกลับทันที
“อ่าว
นึกว่าไม่ต้อง อยากรับรู้รสชาติชีวิต” คุณหมอยังแซวต่อไป
ขั้นตอนต่างๆก็จบที่การเย็บปิดปากแผล
คุณหมอกดผ้ากอซไว้ที่บริเวณหัวไหล่ พร้อมยกผ้าที่ปิดอยู่บนใบหน้าของผมขึ้น
และพูดประโยคเหมือนเดิมว่า “เอามือกดไว้ซักพักนะครับ”
และแล้วผมก็กลับมามีสายน้ำเกลือติดตัวอีกครั้ง (รูปด้านล่างเป็นเครื่องควบคุมอัตราไหล ที่ถูกถ่ายไว้จากตอนเข้ารับการรักษาครั้งแรก)
ในช่วงแรกๆผมยังไม่ค่อยชินเท่าไรไม่สามารถพิมพ์หรือยกของด้วยแขนขวาได้เพราะมีอาการเจ็บที่บริเวณแขนไปถึงหัวไหล่พอสมควร
แต่ผมเห็นด้วยที่ว่าสายน้ำเกลือที่ไหล่สะดวกกว่าบริเวณต้นขาเยอะครับ
(เนื่องจากที่ต้นขาจะเป็นบริเวณข้อพับเมื่อลุกขึ้นนั่งอาจจะทำให้น้ำเกลือไหลไม่สะดวก
และเครื่องที่คอยควบคุมอัตราการไหลจะมีเสียงสัญญาณดังเมื่อน้ำเกลือไม่สามารถไหลได้ปกติครับ)
ชีวิตในห้องรวม
อย่างที่ได้กล่าวไปข้างต้น
เมื่อใช้ชีวิตในห้องรวมหลายๆอย่างก็ลำบากมากขึ้นโดยเฉพาะเวลาเข้านอนอย่างที่คาดไว้
ซึ่งหลายท่านอาจจะคาดเดาได้ว่าเพื่อนร่วมห้องของผมอีกห้าท่านเป็นคุณลุงซึ่งแน่นอนว่าอาการนอนกรนเป็นสิ่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
เมื่อถึงตอนเช้าเนื่องจากเป็นห้องรวมก็ต้องเปิดไฟและในบางเวลาโดยเฉพาะวันหยุดครอบครัวของเพื่อนร่วมห้องก็มาเยี่ยม
(บางเตียงมีเด็กมาด้วย)
แต่ผมก็เข้าใจครับเพราะเมื่อเพื่อนผมมาเยี่ยมผมก็เสียงดังเช่นกัน
เมื่อนานวันเข้าก็เริ่มที่จะชินและหลับไปเมื่อถึงเวลา
จริงๆแล้ว ห้องรวมก็มีข้อดีหลายๆอย่างเช่น
การได้พูดคุยกับเพื่อนร่วมห้องทำให้ไม่เหงา แต่สำหรับกรณีของผมซึ่งต้องอยู่ในบริเวณม่านของตัวเองเนื่องจากสาเหตุที่ได้กล่าวไปกรณีปริมาณเม็ดเลือดขาวต่ำจะทำให้มีโอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อมากขึ้นหากออกนอกบริเวณเครื่องฆ่าเชื้อโรค
แต่ที่แย่ไปกว่านิสัยหรือเสียงดังนั้นคือความกลัวครับ กลัวว่าเมื่อผมมีอายุมากขึ้นในอนาคต
ผมอาจจะป่วยจนต้องมาเข้าพักรักษาที่โรงพยาบาลอีกครั้ง
ความอยากที่หายไป
ผมเคยได้เล่าไปในตอนก่อนหน้านี้ว่า
ช่วงแรกของการรักษาผมถูกระงับไม่ให้รับประทานอาหารแต่ครั้งนี้เมื่อเริ่มทำเคมีบำบัดคุณหมอบอกว่าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องงดอาหารแล้ว
ผมสามารถทานได้อย่างปกติ นอกจากจะมีอาการในรูปแบบเดิมเกิดขึ้น ผมก็นึกในใจว่า “รอบนี้คงไม่ลำบากมากหรอกมั้ง”
เพราะมีอาหารให้ทานชีวิตคงมีความสุขกว่ารอบที่แล้วเยอะ
แต่ทว่าผลข้างเคียงอีกอย่างหนึ่งของการทำเคมีบำบัดที่ผมไม่ได้รับรู้ในช่วงก่อนหน้านี้ก็คือ
อาการไม่อยากอาหาร ผมไม่เคยเข้าใจอาการนี้มาก่อนจนได้เจอกับตัวเองครับ
จนถึงวันนั้นผมนึกว่าอาการนี้สาเหตุมาจากอาการป่วยทางจิตจำพวกซึมเศร้าเท่านั้น
(ผมเคยสงสัยเนื่องจากทุกๆวันพยาบาลผู้รับผิดชอบเวลาวัดไข้
วัดความดันหรือวัดระดับออกซิเจนในเลือดว่าทำไมต้องถามคำถามว่า
“กินข้าวได้ปกติรึเปล่า หรือ มีความอยากอาหารหรือเปล่า”) อาการที่ว่าจะรู้สึกอยากจะอาเจียนเมื่อได้กลิ่น,
นึกถึงอาหารหรือแม้แต่ได้ยินเสียงเพื่อนร่วมห้องทาน (ผมอาเจียนไปหลายต่อหลายครั้งแม้ว่าจะได้รับยาระงับอาการอาเจียน)
ผมอยู่ในสภาพนี้เป็นระยะเวลาหนึ่งสัปดาห์
เมื่อเวลาผ่านไปผมเริ่มกลับมาทานอาหารเบาๆ จำพวกขนม และแซนวิชได้อีกครั้ง
(เพื่อนผมลงทุนเดินไปซื้อมาให้จากร้านสะดวกซื้อแล้วกลับมาใหม่ หลังจากแวะมาเยี่ยม และทราบว่าผมยังทานข้าวปกติไม่ได้)
ยกเลิกทริป
ในช่วงระยะเวลาเดียวกันระหว่างที่ผมไม่ได้ทานอาหารนั้น
ผมต้องทราบข่าวร้ายเพิ่มอีกอย่างหนึ่ง เนื่องด้วยเหตุการณ์สึนามิและแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นในช่วงนั้น
แม้ว่าผมจะไม่ได้รับผลกระทบโดยตรง
แต่โดยทางอ้อมแล้วเพื่อนๆของผมหลายต่อหลายคนต้องกลับประเทศเพราะว่าทางครอบครัวที่อยู่ที่ประเทศไทยเป็นห่วง
และที่แย่ไปกว่านั้นคือทัวร์ตอนช่วงสงกรานต์ที่ทางบ้านจองไว้ล่วงหน้าก็ต้องถูกยกเลิกไปเช่นกัน
(ที่ผมตัดสินใจให้จองทัวร์เพราะว่าผมร่างกายไม่แข็งแรง นั่งรถทัวร์เที่ยวน่าจะสะดวกกว่าเดินทางเที่ยวเองด้วยรถไฟครับ)
ช่วงนั้นคุณหมอท่านบอกผมว่า
”ผมดูมืดมนมาก” (ภาษาญี่ปุ่นแปลเป็นภาษาไทยของคำว่า ”มืด” มีความหมายในแนวไม่ร่าเริงสดใสหรือเศร้าซึม)
คุณหมอยังแซวผมว่า
“ถ้าไม่ทำจิตใจให้แข็งแรงอาจจะไม่ได้ออกไปเที่ยวนะ”
ผมยังจำได้ว่าผมกล่าวตัดพ้อไปว่า
“ไม่ออกไปเที่ยวก็ไม่ต่างแล้วครับ ยังไงทริปก็ยกเลิกแล้วละครับ”
แม้ว่าทริปจะถูกยกเลิกไป
แต่ผมก็เริ่มกลับมาสดใสเหมือนเดิมเพราะว่าครอบครัวของผมเปลี่ยนแผนโดยจะมาเที่ยวในบริเวณคิวชูแทนทริปก่อนหน้านี้
ทำให้ผมเริ่มนับถอยหลังรออย่างต่อเนื่อง
กิจวัตรประจำวันที่ต่างออกไป
อีกสิ่งหนึ่งที่ต่างออกไปคืออาหารที่ผมสามารถทานได้ต้องผ่านความร้อนเพื่อกำจัดเชื้อโรคในช่วงเวลาที่ผมมีเม็ดเลือดขาวต่ำ
ซึ่งในช่วงนี้ผมไม่สามารถทานอาหารจำพวกผักสด, ผลไม้หรือแม้กระทั่งขนมปังและนมสดได้
หากจะทานขนมก็จำเป็นต้องเป็นขนมประเภทห่อเล็กๆ ที่ต้องห่อพลาสติกมิดชิดก่อนแกะรับประทานครับ
และในครั้งนี้ต่างจากก่อนหน้านี้พอสมควร
เพราะว่าผมสามารถเดินออกไปไหนมาไหนได้ (จำเป็นต้องใส่ผ้าปิดปากตลอดเวลา
บ้วนปากวันละ 3-4 ครั้งรวมถึงล้างมือและทานยาอย่างเคร่งครัด) ครั้งนี้เริ่มมีสิ่งให้ผมทำมากขึ้นนอกเหนือจากนั่งเหม่อไปวันๆ
ตั้งแต่เดินไปซักผ้าด้วยตัวเองในบางเวลา หรือเดินออกไปร้านขายของในบางวันเพื่อซื้อขนมหรือน้ำที่อยากดื่ม
เรื่องเล็กๆน้อยๆแค่นี้ แต่มันทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองแข็งแรงขึ้นและยังมีชีวิตอยู่จริงๆในช่วงนั้น
นอกเหนือจากที่กล่าวไปผมใช้เวลาที่เหลือส่วนใหญ่ดูละครหรืออนิเมชั่น
แม้ว่าตายังพร่าอยู่แต่ยังอยู่ในระดับที่ผมสามารถสนุกไปกับมันได้ครับ
ยี่สิบวันผ่านไปนับจากวันแรกที่เข้ามารับการรักษาในรอบนี้หลังจากย้ายห้องไปสองครั้ง
ไปห้องรวมสี่เตียงและห้องสองเตียงในเวลาต่อมา
ซึ่งผมขอบอกว่าห้องสองเตียงลำบากสุดครับเนื่องจากระยะห่างระหว่างเตียงใกล้กันมาก
เสียงจากเตียงข้างๆทำเอาผมนอนไม่หลับไปหลายต่อหลายคืน
ในครั้งนี้ผมไม่มีอาการไข้ขึ้น
รวมไปถึงปริมาณเลือดคั่วในดวงตาก็เริ่มลดลงเรื่อยๆ
ผมเริ่มแยกแยะใบหน้าและอ่านตัวหนังสือได้มากขึ้น
ในช่วงที่ไม่นานนักคุณหมอก็อนุญาตให้ผมกลับบ้านได้พร้อมนัดให้มาตรวจภายหลัง
พร้อมกำชับให้ผมทานยาอย่างเคร่งครัด
และแล้วผมก็ได้ออกมาสูดอากาศภายนอกอีกครั้ง
โดยครั้งนี้ผมมีดอกซากุระบานราวกับจะร่วมแสดงความยินดีให้ผมด้วยครับ
To be continued…..
"ออกนอกบริเวณเครื่องค่าเชื้อโรค" ตรงนี้พิมพ์ผิดหรือเปล่าครับ
ReplyDeleteแก้แล้วนะครับ ขอบคุณมากครับ
Deleteปล. ตอนผมอ่านคอมเม้นท์พี่ผมยังงงอยู่เลยครับ ว่าผิดยังไง ฮ่าๆๆ