Tuesday, June 11, 2013

Perk Series Part-1: How I got a cancer perk.

            วันนี้ผมอยากจะมาเล่าประสบการณ์ชีวิตที่ได้เจอมากับตัวเองเมื่อสองปีก่อนที่ประเทศญี่ปุ่น ผมเคยเขียนเล่าเรื่องในเฟสบุ้คแบบเดียวกันนี้ครั้งหนึ่งตอนผมได้ออกจาก โรงพยาบาลหลังเข้ารับการรักษา แต่ผมก็หยุดไม่ได้เขียนต่อทั้งหมด พอวันนี้ได้ฤกษ์งามเพราะว่าเป็นครั้งสุดท้ายของรอบสองปีที่ผมต้องตรวจพร้อมทานยา และแน่นอนว่าที่ผมมาเขียนบทความนี้ก็เพราะว่าผมปกติดีแล้วบางครั้งแอบลืมไปด้วยซ้ำว่าตัวเองยังป่วยอยู่ สำหรับเพื่อนๆพี่ๆน้องๆที่เคยอ่านโน้ตของผมมารอบหนึ่งแล้วอาจจะเห็นว่าข้อความบางส่วนซ้ำกันบ้าง ต้องขออภัยไว้ล่วงหน้านะครับ

อาการเริ่มแรก
            เหตุการณ์ทั้งหมดนั้นเริ่มต้นในปลายเดือนมกราคม สองปีก่อน ผมรู้สึกไม่ดีมาหลายๆวันแต่เนื่องจากผมไม่เคยป่วยไข้ถึงขนาดเข้ารักษาในโรงพยาบาลแต่อย่างใดจึงสรุปเอาว่าอาจจะเป็นอาการที่เกิดมาจากความเครียดสะสม เนื่องจากเป็นช่วงปีสุดท้ายของการเป็นนักศึกษา ที่ต้องเตรียมตัวหางานพร้อมกันทำปริญญานิพนธ์ไปพร้อมๆกัน  (ประเทศญี่ปุ่นมีธรรมเนียมในการหางานที่แตกต่างจากประเทศอื่นโดยนักเรียนต้องหางานในช่วงปีสามหรือปีสี่ก่อนจบในช่วงเวลาเดียวกันทั่วประเทศ ทำให้นักเรียนต่างชาติอย่างผมต้องเตรียมตัวเป็นพิเศษไม่ว่าจะเป็นการเตรียมตัวเขียนใบสมัครหรือซ้อมสัมภาษณ์ รวมถึงการหาข้อมูลและอื่นๆอีกมากมาย)

ในช่วงเวลานั้นผมท้องผูกสลับกับท้องเสีย ถ่ายเป็นเลือดประมาณสองวันล่วงหน้าก่อนเข้าโรงพยาบาล ตั้งแต่เกิดมาผมไม่เคยเป็นโรคคล้ายๆกันแบบนี้มาก่อน ผมจึงเดาเอาเองว่าอาจจะเป็นริดสีดวง หรือท้องผูกทั่วไป จึงไม่ได้เอะใจตอนแรก พอถ่ายบ่อยครั้งร่างกายเริ่มทนไม่ไหว เนื่องจากเสียเลือดมาก ปริมาณออกซิเจนที่ไหลเวียนไม่พอ ทำให้เหนื่อยง่ายหน้ามืดราวกับวิ่งมาราธอนมาแม้ว่าจะแค่เดินรอบห้องเพื่อทำกิจวัตรทั่วๆไปไม่ถึงยี่สิบก้าว พอตกเย็นผมยังฝีนตัวเองออกไปกินข้าวบ้านเพื่อนที่อยู่ใกล้ๆ (ถ้าคุณเป็นคนใกล้ตัวผมจะรู้ว่าทำไมผมยังฝืนไปอีก )  แต่ปรากฏว่าพอขี่จักรยานออกไปได้ไม่ถึงครึ่งทาง ผมไม่มีแรงเพียงพอแม้จะขี่จักรยานไปถึงได้ ทำให้ต้องลงจักรยานแล้วประคองตัวเองกลับบ้าน (ระหว่างทางหกล้มไปหลายต่อหลายรอบ แม้ว่าจะเป็นระยะทางสั้นๆ ที่จำได้เนื่องจากมีแผลตามหัวเข่า ศอกหลายต่อหลายแผล)

เมื่อกลับมาถึงที่บันไดอพาร์ทเม้นท์ผมไม่มีแรงแม้จะขึ้นบันไดหนึ่งชั้นเพื่อกลับไปที่ห้อง ผมจึงต้องโทรไปหาเพื่อนให้มาช่วย (ผมมารู้ภายหลังว่าเพื่อนผมคิดว่าผมล้อเล่นด้วยซ้ำไปเพราะไม่เคยเห็นผมเป็นอะไรแบบนี้มาก่อน) พอเพื่อนมาเห็นสภาพผม จึงบอกว่าแบบนี้ไม่ไหวแน่ๆ ต้องรีบไปโรงพยาบาลแล้ว จึงพาผมไปส่งโรงพยาบาลใกล้ๆ

โรงพยาบาลแห่งแรก
            พอมาถึงโรงพยาบาลได้ตรวจหลายๆอย่าง ทางหมอเองก็ยังไม่ทราบว่าผมเป็นอะไรกันแน่ ต้องให้ผมตรวจอีกหลายๆอย่าง รวมไปถึงการตรวจเลือดด้วย ซึ่งขอบอกตามตรงผมเองเป็นคนที่กลัวเลือดเห็นเลือดหรือแค่คิดถึงแล้วจะมึนหัวมาก แต่ในสถานการณ์นั้นต้องจำยอมอย่างเดียว แต่ด้วยสภาพที่ย่ำแย่จนขนาดไม่ต้องเป็นหมอก็บอกได้ว่าผมควรเข้ารักษาโรงพยาบาลดีกว่า ถึงตอนนี้ผมตกใจในระดับหนึ่งเนื่องจากต้องเข้าโรงพยาบาลเป็นครั้งแรกในชีวิต แถมยังเป็นต่างประเทศเสียอีก ผมคิดในใจว่าท่าทางผมจะเครียดกับชีวิตมากเกินไปแล้ว คราวหลังต้องคอยระวังให้มากกว่านี้

หลังจากนอนให้น้ำเกลือ (ประสบการณ์ครั้งแรกกับสายน้ำเกลือเช่นกัน) ซักพักผมก็โทรบอกเพื่อนที่บ้านอยู่ใกล้ๆ (ซึ่งรีบมาเยี่ยมทันที ขอบคุณมากจริงๆ) รวมถึงโทรติดต่อ พ่อแม่ผมที่อยู่ที่ประเทศไทยว่าผมเข้าโรงพยาบาล ผ่านไปได้อีกประมาณหนึ่งชม.ผมรู้สึกท้องเสียอยากจะถ่ายอีกรอบและแน่นอนว่าเป็นเลือดล้วนๆเกือบทั้งหมด หลังจากนั้นผมบอกตามตรงว่าไม่เคยรู้สึกแย่ขนาดนั้นมาก่อน ไม่มีแรงแม้แต่จะตั้งสติคุยกับคนอื่น สติเลือนลางมาก พอผลตรวจเลือดออกมาพบว่าผมเสียเลือดไปมาก เหลือเพียง 6/14 ของร่างกายปกติของมนุษย์ ทำให้ทางโรงพยาบาลต้องรีบติดต่อหมออีกท่านเป็นกรณีฉุกเฉิน พร้อมทั้งต้องรีบถ่ายเลือดให้ผม (ในขณะนั้นถ่ายจำนวนห้าถุง) พอผมรู้สึกตัวอีกทีก็มีสติตอนเช้าแล้วเนื่องจากได้เลือดมาในปริมาณหนึ่ง หลังจากเจาะเลือดอีกครั้ง (ครั้งนี้เนื่องจากผมมีสายน้ำเกลือกับสายถ่ายเลือดที่แขนทั้งสองข้าง ผมจึงต้องเจาะเลือดที่หลังเท้าแทน ขอบอกว่าเจ็บมากๆ แล้วได้เลือดน้อยกว่าที่แขนเยอะ) คุณหมอผู้รับผิดชอบผมก็ไม่สามารถตอบได้ว่าผมป่วยเป็นอะไรอย่างแน่ชัด เพียงแต่ตอบได้ว่ามันไม่ใช่ริดสีดวงทวารแน่นอนเนื่องจาก X-ray เห็นได้ชัดว่าผมมีของเหลวอยู่ในช่วงตั้งแต่กระเพาะมาอยู่เยอะ ซึ่งสันนิษฐานได้ว่าเป็นเลือดทั้งหมดเพราะว่าคุณหมอสั่งห้ามไม่ให้แม้ผมจะดื่มน้ำ ให้ได้แค่เพียงหยดน้ำจากหลอดหนึ่งหลอดถ้ากระหายจริงๆ ผลสรุปคือผมต้องไปตรวจต่อที่โรงพยาบาลอื่น เพราะว่าโรงพยาบาลไม่มีเครื่องมือเพียงพอที่จะตรวจต่อได้

โรงพยาบาลแห่งที่สอง
            ถึงเวลาที่รถจากโรงพยาบาลอื่นมารับ ต้องบอกว่าเป็นประสบการณ์ครั้งแรกที่ได้ขึ้นรถพยาบาล ซึ่งบอกได้ว่า ในรถเสียงดังปวดหูมาก แล้วยังนอนบนเตียงแข็งๆบนรถทำให้มึนหัวมาก พอไปถึงโรงพยาบาลแห่งที่สอง ต้องบอกได้ว่าโดนตรวจอีกเช่นกัน MRI อีกรอบ อีกประสบการณ์หนึ่งคือได้ติดอุปกรณ์ทุกอย่างในห้องฉุกเฉินราวกับอยู่ในหนังเลยก็ว่าได้ แน่นอนว่าผมต้องเจาะเลือดอีกรอบ และรอบนี้ไม่ใช่ที่หลังเท้าครับ ต้องเจาะที่ประมาณใต้เข็มขัด เจ็บอีกแล้วครับ (แม้ว่าจะน้อยกว่าหลังเท้า) พอได้ผลเลือดก็หมอก็ว่าปริมาณเม็ดเลือดไม่ปรกติอย่างมาก ทำให้ต้องย้ายไปอีกโรงพยาบาลหนึ่งที่มีเนื่องจากโรงพยาบาลนี้ไม่มีหมอผู้เชี่ยวชาญด้านนี้ จึงยังไม่สามารถลงความเห็นอะไรได้อย่างแน่ชัด ในขณะนั้นผมเองก็ไม่ได้เอะใจว่าจะเป็นอะไรรุนแรงมาก ระหว่างการเดินทางด้วยรถพยาบาลอีกรอบ ผมเองก็เป็นกังวลกับตารางและสิ่งที่ต้องทำให้ช่วงนั้นพอควร คุณหมอท่านแรกบอกว่า สองสามวันอย่างมากน่าจะออกจากโรงพยาบาลได้ คุณหมอท่านนี้บอกว่า อย่างต่ำๆ สองสัปดาห์ ทำให้ผมตกใจอย่างมาก เนื่องจากผมมีสอบปลายภาคอยู่หลายวิชา รวมไปถึงการสอบข้อเขียนของบางบริษัทและสอบวัดระดับภาษาคอมพิวเตอร์ ต้องยกเลิกทิ้งทั้งหมด

โรงพยาบาลแห่งที่สาม
            เมื่อมาถึงโรงพยาบาลแห่งที่สาม (เป็นแห่งนี้แหละครับที่ผมรับการรักษาจนกลับมาปกติ) ผมต้องรับการตรวจที่บอกว่าน่ากลัวที่สุด (แค่นึกถึงตอนนี้ก็ยังกลัวไม่หาย) คือการเจาะไขกระดูก โดยต้องตรวจเลือดจากแกนกลางของกระดูกที่ทำหน้าที่สร้างเม็ดเลือดต่างๆในร่างกาย เป็นการตรวจที่เจ็บที่สุดยากที่จะบรรยาย ถึงขนาดที่ว่าถ้าเป็นไปได้ผมยอมแลกการตรวจสิบนาทีกับอาการข้อเท้าพลิกเดินไม่ได้เป็นเดือนได้อย่างไม่ลังเล ถึงตอนนี้ผมยังแอบหวังว่าอาการตัวเองไม่ได้แย่ขนาดนั้น ยังตั้งความหวังว่าจะออกจาก โรงพยาบาลในอีกไม่ช้า เพราะยังมีภาระอีกหลายอย่างต้องทำ            พอตรวจเสร็จทุกอย่างผมก็เข้ามาที่ห้อง นั่งกรอกเอกสาร เกี่ยวกับประวัติคนไข้ เป็นครั้งที่สามในรอบสองวัน ทำให้ผมรู้ตัวเองเลยว่า ภาษาญี่ปุ่นที่เรียนมาเกือบสี่ปีนั้นยังไม่พอ

เมื่อความจริงมาเยือน
            หลังจากนั้นอีกไม่นาน หมอที่ดูแลก็เข้ามาในห้องพร้อมกับคำทักทาย

“สวัสดีครับ ผมเป็นหมอที่ดูแลรักษาตอนนี้ จะขออธิบายอาการป่วยนะครับ”

“เชิญครับ” ผมตอบพร้อมความอยากรู้อยากเห็นอย่างมากเนื่องจากหมอทั้งสองท่านก่อนหน้าไม่สามารถสรุปได้ว่าเป็นโรคอะไรกันแน่

“หลังจากผลตรวจเลือดและอื่นๆแล้ว ผมคิดว่าคุณเป็นโรค 急性前骨髄球性白血病......” คือคุณหมอท่านพ่นชื่อโรคภาษาญี่ปุ่นออกมาแบบที่ว่ามันเป็นตัวคันจิติดกันสิบตัว คือตั้งแต่เรียนภาษาญี่ปุ่นมายังไม่เคยคำศัพท์ในยาวเท่านี้มาก่อนอย่างมากสี่ห้าตัวผมก็แปลไม่ออกละครับ

“เอ่อ อะไรนะครับ มีชื่อภาษาอังกฤษรึเปล่าครับ” ผมถามกลับไป ด้วยความงงๆ

คุณหมอท่านหยิบปากกาที่เสียบไว้ที่กระเป๋าเสื้อ แล้วเขียนเป็นตัวคันจิข้างต้นพร้อมภาษาอังกฤษกำกับว่า

“Acute Promyelocytic LEUKEMIA”

ผมอ่านชื่อโรคภาษาอังกฤษตามพร้อมกับความรู้สึกของอารมณ์ที่บอกว่าไม่เชื่อสายตาตัวเอง แล้วมองไปที่คันจิสามตัวท้าย มีความหมายเรียงกันว่า สีขาว เลือด โรค (โรคเลือดขาว) จึงเป็นการยืนยันอย่างแท้จริงว่าคุณหมอไม่น่าจะแปลผิด

            วินาทีนั้น ตกใจมากไม่สามารถบรรยายได้อย่างแท้จริงอีกหนึ่งครั้ง

“ผมเนี่ยนะ!!!!! ใช่เหรอครับ เข้าใจผิดอะไรรึเปล่าครับเนี่ย ??” ผมถามด้วยความหวังอีกครั้ง

แต่คุณหมอทำหน้าซีเรียสแล้วพูดกับผมว่า “ไม่ผิดหรอกครับ คุณเป็นโรคนี้จริงๆ”

แต่ในข่าวร้ายยังมีข่าวดีที่ว่า “โรคนี้โอกาสรักษาหายง่ายเป็นอันดับต้นๆของมะเร็งม็ดเลือดขาวนะครับ อย่าพึ่งตกใจไป”

“แล้วโอกาสที่ว่ามันประมาณเท่าไหร่อะครับ”

“ประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์โอกาสหายครับ” ตอนนั้นไม่อยากจะบอกว่า คนที่มองโลกในแง่ดีอย่างผมมองว่า 80 เปอร์เซ็นต์เป็นตัวเลขที่ยังไม่มากพอทำให้ผมโล่งใจได้ เนื่องจากลองคิดดูสิครับ โอกาสคนที่จะป่วยเป็นโรคนี้ได้ มันหนึ่งในแสนหรือหนึ่งในล้านคนก็ว่าได้ผมยังเป็นหนึ่งในตัวเลขที่แทบจะเป็นไปไม่ได้มาแล้ว อีก 20 เปอร์เซ็นต์มันก็ไม่ใช่จะต่างอะไรมากเท่าไร

หลังจากนั้นผมก็พูดคุยกับคุณหมอเรื่องคำถามอื่นๆเช่น สาเหตุของโรค ซึ่งในปัจจุบันยังไม่สามารถระบุได้อย่างแน่ชัด รวมไปถึงระยะเวลารักษา และคุณหมอท่านก็อธิบายว่าผมจำเป็นต้องผ่าที่บริเวณต้นขาเพื่อสอดสายน้ำเกลือเนื่องจาก ตอนถ่ายเลือด ให้น้ำเกลือ และการทำคีโม นั้นต้องการท่อที่กว้างพอสมควร มากกว่าสายน้ำเกลือปกติ ปกติแล้วต้องผ่าที่บริเวณหัวไหล่ แต่เนื่องจากว่าผมมีเกร็ดเลือดน้อย ทำให้อันตรายเพราะว่าใกล้หัวใจเกินไป จึงต้องสอดที่ต้นขาแทน แน่นอนว่าผมกลัวมากเพียงแต่สภาพตอนนั้นช็อกเสียมากกว่าจึงจำความไม่ค่อยได้ซักเท่าไร

เมื่อเวลาผ่านไปซักพัก ผมก็ได้ทานข้าวมื้อแรกในรอบ 24 ชม. ซึ่งเป็นมื้อที่ล้ำค่ามาก (ผมจะเล่าต่อในตอนต่อไปว่าทำไมนะครับ) ได้คุยกับเพื่อนที่มาเยี่ยมสองสามคน ก่อนที่เพื่อนกลุ่มถัดมาจะโดนห้ามเข้าเยี่ยมเนื่องจาก เม็ดเลือดขาวต่ำทำให้ร่างกายอ่อนแอกว่าคนปกติ พอเวลาผ่านไปซักพักผมก็หลับไปด้วยความเพลียจากการตรวจทั้งวัน


To be continued…..

8 comments:

  1. อยากอ่านต่อแร้ว
    ว่าแต่ทำไม สัดส่วนเป็น 6/14 อ่า

    ReplyDelete
    Replies
    1. ขอบคุณครับพี่ ตอนนี้กำลังเขียนต่ออยู่ครับ
      อาจจะโพสต่อได้ในอีกสองสามวันข้างหน้านี้

      ส่วน 6/14 เป็นเรทของฮีโมโกลบินครับ
      ผู้ใหญ่เพศชายปกติจะมี 13.8gm/dl อ่ะครับ
      ตอนนั้นผมเหลือหกกว่าๆครับ

      ผมแก้ส่วนนี้เพิ่มเติมกับบทความข้างบนละครับ

      Delete
  2. เมิงทำสือขาย กุยอมเสียตังซื้เลยออะ

    ReplyDelete
    Replies
    1. ใครจะมายอมพิมพ์ให้ผมครับ

      Delete
    2. ป๋าซีลระดับโลก ใครจะเป็นระดับโลกไม่ใช่ง่ายๆ ย่อมเป็น 1 ในล้านอยู่แล้ววววว =)

      Delete
    3. -*- ป๋าเอ็มตามมายำถึงในนี้เลยเหรอครับ

      Delete
  3. เฮือก! ไม่รู้จะพูดอะไรเลย ดูมันลำบากมากๆ ... ดีแล้วที่ตอนนี้สบายดี

    ReplyDelete