วันนี้ผมอยากจะมาเล่าประสบการณ์ชีวิตที่ได้เจอมากับตัวเองเมื่อสองปีก่อนที่ประเทศญี่ปุ่น
ผมเคยเขียนเล่าเรื่องในเฟสบุ้คแบบเดียวกันนี้ครั้งหนึ่งตอนผมได้ออกจาก
โรงพยาบาลหลังเข้ารับการรักษา แต่ผมก็หยุดไม่ได้เขียนต่อทั้งหมด พอวันนี้ได้ฤกษ์งามเพราะว่าเป็นครั้งสุดท้ายของรอบสองปีที่ผมต้องตรวจพร้อมทานยา
และแน่นอนว่าที่ผมมาเขียนบทความนี้ก็เพราะว่าผมปกติดีแล้วบางครั้งแอบลืมไปด้วยซ้ำว่าตัวเองยังป่วยอยู่
สำหรับเพื่อนๆพี่ๆน้องๆที่เคยอ่านโน้ตของผมมารอบหนึ่งแล้วอาจจะเห็นว่าข้อความบางส่วนซ้ำกันบ้าง
ต้องขออภัยไว้ล่วงหน้านะครับ
อาการเริ่มแรก
เหตุการณ์ทั้งหมดนั้นเริ่มต้นในปลายเดือนมกราคม
สองปีก่อน
ผมรู้สึกไม่ดีมาหลายๆวันแต่เนื่องจากผมไม่เคยป่วยไข้ถึงขนาดเข้ารักษาในโรงพยาบาลแต่อย่างใดจึงสรุปเอาว่าอาจจะเป็นอาการที่เกิดมาจากความเครียดสะสม
เนื่องจากเป็นช่วงปีสุดท้ายของการเป็นนักศึกษา
ที่ต้องเตรียมตัวหางานพร้อมกันทำปริญญานิพนธ์ไปพร้อมๆกัน
(ประเทศญี่ปุ่นมีธรรมเนียมในการหางานที่แตกต่างจากประเทศอื่นโดยนักเรียนต้องหางานในช่วงปีสามหรือปีสี่ก่อนจบในช่วงเวลาเดียวกันทั่วประเทศ
ทำให้นักเรียนต่างชาติอย่างผมต้องเตรียมตัวเป็นพิเศษไม่ว่าจะเป็นการเตรียมตัวเขียนใบสมัครหรือซ้อมสัมภาษณ์
รวมถึงการหาข้อมูลและอื่นๆอีกมากมาย)
ในช่วงเวลานั้นผมท้องผูกสลับกับท้องเสีย
ถ่ายเป็นเลือดประมาณสองวันล่วงหน้าก่อนเข้าโรงพยาบาล ตั้งแต่เกิดมาผมไม่เคยเป็นโรคคล้ายๆกันแบบนี้มาก่อน
ผมจึงเดาเอาเองว่าอาจจะเป็นริดสีดวง หรือท้องผูกทั่วไป จึงไม่ได้เอะใจตอนแรก พอถ่ายบ่อยครั้งร่างกายเริ่มทนไม่ไหว
เนื่องจากเสียเลือดมาก ปริมาณออกซิเจนที่ไหลเวียนไม่พอ ทำให้เหนื่อยง่ายหน้ามืดราวกับวิ่งมาราธอนมาแม้ว่าจะแค่เดินรอบห้องเพื่อทำกิจวัตรทั่วๆไปไม่ถึงยี่สิบก้าว
พอตกเย็นผมยังฝีนตัวเองออกไปกินข้าวบ้านเพื่อนที่อยู่ใกล้ๆ (ถ้าคุณเป็นคนใกล้ตัวผมจะรู้ว่าทำไมผมยังฝืนไปอีก
) แต่ปรากฏว่าพอขี่จักรยานออกไปได้ไม่ถึงครึ่งทาง
ผมไม่มีแรงเพียงพอแม้จะขี่จักรยานไปถึงได้
ทำให้ต้องลงจักรยานแล้วประคองตัวเองกลับบ้าน (ระหว่างทางหกล้มไปหลายต่อหลายรอบ
แม้ว่าจะเป็นระยะทางสั้นๆ ที่จำได้เนื่องจากมีแผลตามหัวเข่า ศอกหลายต่อหลายแผล)
เมื่อกลับมาถึงที่บันไดอพาร์ทเม้นท์ผมไม่มีแรงแม้จะขึ้นบันไดหนึ่งชั้นเพื่อกลับไปที่ห้อง
ผมจึงต้องโทรไปหาเพื่อนให้มาช่วย
(ผมมารู้ภายหลังว่าเพื่อนผมคิดว่าผมล้อเล่นด้วยซ้ำไปเพราะไม่เคยเห็นผมเป็นอะไรแบบนี้มาก่อน)
พอเพื่อนมาเห็นสภาพผม จึงบอกว่าแบบนี้ไม่ไหวแน่ๆ ต้องรีบไปโรงพยาบาลแล้ว
จึงพาผมไปส่งโรงพยาบาลใกล้ๆ
โรงพยาบาลแห่งแรก
พอมาถึงโรงพยาบาลได้ตรวจหลายๆอย่าง
ทางหมอเองก็ยังไม่ทราบว่าผมเป็นอะไรกันแน่ ต้องให้ผมตรวจอีกหลายๆอย่าง รวมไปถึงการตรวจเลือดด้วย
ซึ่งขอบอกตามตรงผมเองเป็นคนที่กลัวเลือดเห็นเลือดหรือแค่คิดถึงแล้วจะมึนหัวมาก
แต่ในสถานการณ์นั้นต้องจำยอมอย่างเดียว แต่ด้วยสภาพที่ย่ำแย่จนขนาดไม่ต้องเป็นหมอก็บอกได้ว่าผมควรเข้ารักษาโรงพยาบาลดีกว่า
ถึงตอนนี้ผมตกใจในระดับหนึ่งเนื่องจากต้องเข้าโรงพยาบาลเป็นครั้งแรกในชีวิต
แถมยังเป็นต่างประเทศเสียอีก ผมคิดในใจว่าท่าทางผมจะเครียดกับชีวิตมากเกินไปแล้ว
คราวหลังต้องคอยระวังให้มากกว่านี้
หลังจากนอนให้น้ำเกลือ
(ประสบการณ์ครั้งแรกกับสายน้ำเกลือเช่นกัน) ซักพักผมก็โทรบอกเพื่อนที่บ้านอยู่ใกล้ๆ
(ซึ่งรีบมาเยี่ยมทันที ขอบคุณมากจริงๆ) รวมถึงโทรติดต่อ พ่อแม่ผมที่อยู่ที่ประเทศไทยว่าผมเข้าโรงพยาบาล
ผ่านไปได้อีกประมาณหนึ่งชม.ผมรู้สึกท้องเสียอยากจะถ่ายอีกรอบและแน่นอนว่าเป็นเลือดล้วนๆเกือบทั้งหมด
หลังจากนั้นผมบอกตามตรงว่าไม่เคยรู้สึกแย่ขนาดนั้นมาก่อน ไม่มีแรงแม้แต่จะตั้งสติคุยกับคนอื่น
สติเลือนลางมาก พอผลตรวจเลือดออกมาพบว่าผมเสียเลือดไปมาก เหลือเพียง 6/14
ของร่างกายปกติของมนุษย์ ทำให้ทางโรงพยาบาลต้องรีบติดต่อหมออีกท่านเป็นกรณีฉุกเฉิน
พร้อมทั้งต้องรีบถ่ายเลือดให้ผม (ในขณะนั้นถ่ายจำนวนห้าถุง) พอผมรู้สึกตัวอีกทีก็มีสติตอนเช้าแล้วเนื่องจากได้เลือดมาในปริมาณหนึ่ง
หลังจากเจาะเลือดอีกครั้ง
(ครั้งนี้เนื่องจากผมมีสายน้ำเกลือกับสายถ่ายเลือดที่แขนทั้งสองข้าง
ผมจึงต้องเจาะเลือดที่หลังเท้าแทน ขอบอกว่าเจ็บมากๆ
แล้วได้เลือดน้อยกว่าที่แขนเยอะ) คุณหมอผู้รับผิดชอบผมก็ไม่สามารถตอบได้ว่าผมป่วยเป็นอะไรอย่างแน่ชัด
เพียงแต่ตอบได้ว่ามันไม่ใช่ริดสีดวงทวารแน่นอนเนื่องจาก X-ray เห็นได้ชัดว่าผมมีของเหลวอยู่ในช่วงตั้งแต่กระเพาะมาอยู่เยอะ
ซึ่งสันนิษฐานได้ว่าเป็นเลือดทั้งหมดเพราะว่าคุณหมอสั่งห้ามไม่ให้แม้ผมจะดื่มน้ำ
ให้ได้แค่เพียงหยดน้ำจากหลอดหนึ่งหลอดถ้ากระหายจริงๆ ผลสรุปคือผมต้องไปตรวจต่อที่โรงพยาบาลอื่น
เพราะว่าโรงพยาบาลไม่มีเครื่องมือเพียงพอที่จะตรวจต่อได้
โรงพยาบาลแห่งที่สอง
ถึงเวลาที่รถจากโรงพยาบาลอื่นมารับ
ต้องบอกว่าเป็นประสบการณ์ครั้งแรกที่ได้ขึ้นรถพยาบาล ซึ่งบอกได้ว่า ในรถเสียงดังปวดหูมาก
แล้วยังนอนบนเตียงแข็งๆบนรถทำให้มึนหัวมาก พอไปถึงโรงพยาบาลแห่งที่สอง
ต้องบอกได้ว่าโดนตรวจอีกเช่นกัน MRI อีกรอบ
อีกประสบการณ์หนึ่งคือได้ติดอุปกรณ์ทุกอย่างในห้องฉุกเฉินราวกับอยู่ในหนังเลยก็ว่าได้
แน่นอนว่าผมต้องเจาะเลือดอีกรอบ และรอบนี้ไม่ใช่ที่หลังเท้าครับ
ต้องเจาะที่ประมาณใต้เข็มขัด เจ็บอีกแล้วครับ (แม้ว่าจะน้อยกว่าหลังเท้า) พอได้ผลเลือดก็หมอก็ว่าปริมาณเม็ดเลือดไม่ปรกติอย่างมาก
ทำให้ต้องย้ายไปอีกโรงพยาบาลหนึ่งที่มีเนื่องจากโรงพยาบาลนี้ไม่มีหมอผู้เชี่ยวชาญด้านนี้
จึงยังไม่สามารถลงความเห็นอะไรได้อย่างแน่ชัด
ในขณะนั้นผมเองก็ไม่ได้เอะใจว่าจะเป็นอะไรรุนแรงมาก
ระหว่างการเดินทางด้วยรถพยาบาลอีกรอบ
ผมเองก็เป็นกังวลกับตารางและสิ่งที่ต้องทำให้ช่วงนั้นพอควร คุณหมอท่านแรกบอกว่า
สองสามวันอย่างมากน่าจะออกจากโรงพยาบาลได้ คุณหมอท่านนี้บอกว่า อย่างต่ำๆ
สองสัปดาห์ ทำให้ผมตกใจอย่างมาก เนื่องจากผมมีสอบปลายภาคอยู่หลายวิชา
รวมไปถึงการสอบข้อเขียนของบางบริษัทและสอบวัดระดับภาษาคอมพิวเตอร์
ต้องยกเลิกทิ้งทั้งหมด
โรงพยาบาลแห่งที่สาม
เมื่อมาถึงโรงพยาบาลแห่งที่สาม
(เป็นแห่งนี้แหละครับที่ผมรับการรักษาจนกลับมาปกติ) ผมต้องรับการตรวจที่บอกว่าน่ากลัวที่สุด
(แค่นึกถึงตอนนี้ก็ยังกลัวไม่หาย) คือการเจาะไขกระดูก โดยต้องตรวจเลือดจากแกนกลางของกระดูกที่ทำหน้าที่สร้างเม็ดเลือดต่างๆในร่างกาย
เป็นการตรวจที่เจ็บที่สุดยากที่จะบรรยาย ถึงขนาดที่ว่าถ้าเป็นไปได้ผมยอมแลกการตรวจสิบนาทีกับอาการข้อเท้าพลิกเดินไม่ได้เป็นเดือนได้อย่างไม่ลังเล
ถึงตอนนี้ผมยังแอบหวังว่าอาการตัวเองไม่ได้แย่ขนาดนั้น ยังตั้งความหวังว่าจะออกจาก
โรงพยาบาลในอีกไม่ช้า เพราะยังมีภาระอีกหลายอย่างต้องทำ พอตรวจเสร็จทุกอย่างผมก็เข้ามาที่ห้อง นั่งกรอกเอกสาร
เกี่ยวกับประวัติคนไข้ เป็นครั้งที่สามในรอบสองวัน ทำให้ผมรู้ตัวเองเลยว่า
ภาษาญี่ปุ่นที่เรียนมาเกือบสี่ปีนั้นยังไม่พอ
เมื่อความจริงมาเยือน
หลังจากนั้นอีกไม่นาน
หมอที่ดูแลก็เข้ามาในห้องพร้อมกับคำทักทาย
“สวัสดีครับ
ผมเป็นหมอที่ดูแลรักษาตอนนี้ จะขออธิบายอาการป่วยนะครับ”
“เชิญครับ”
ผมตอบพร้อมความอยากรู้อยากเห็นอย่างมากเนื่องจากหมอทั้งสองท่านก่อนหน้าไม่สามารถสรุปได้ว่าเป็นโรคอะไรกันแน่
“หลังจากผลตรวจเลือดและอื่นๆแล้ว
ผมคิดว่าคุณเป็นโรค 急性前骨髄球性白血病......” คือคุณหมอท่านพ่นชื่อโรคภาษาญี่ปุ่นออกมาแบบที่ว่ามันเป็นตัวคันจิติดกันสิบตัว
คือตั้งแต่เรียนภาษาญี่ปุ่นมายังไม่เคยคำศัพท์ในยาวเท่านี้มาก่อนอย่างมากสี่ห้าตัวผมก็แปลไม่ออกละครับ
“เอ่อ
อะไรนะครับ มีชื่อภาษาอังกฤษรึเปล่าครับ” ผมถามกลับไป ด้วยความงงๆ
คุณหมอท่านหยิบปากกาที่เสียบไว้ที่กระเป๋าเสื้อ
แล้วเขียนเป็นตัวคันจิข้างต้นพร้อมภาษาอังกฤษกำกับว่า
“Acute Promyelocytic LEUKEMIA”
ผมอ่านชื่อโรคภาษาอังกฤษตามพร้อมกับความรู้สึกของอารมณ์ที่บอกว่าไม่เชื่อสายตาตัวเอง
แล้วมองไปที่คันจิสามตัวท้าย มีความหมายเรียงกันว่า สีขาว เลือด โรค (โรคเลือดขาว)
จึงเป็นการยืนยันอย่างแท้จริงว่าคุณหมอไม่น่าจะแปลผิด
วินาทีนั้น ตกใจมากไม่สามารถบรรยายได้อย่างแท้จริงอีกหนึ่งครั้ง
“ผมเนี่ยนะ!!!!! ใช่เหรอครับ
เข้าใจผิดอะไรรึเปล่าครับเนี่ย ??” ผมถามด้วยความหวังอีกครั้ง
แต่คุณหมอทำหน้าซีเรียสแล้วพูดกับผมว่า “ไม่ผิดหรอกครับ
คุณเป็นโรคนี้จริงๆ”
แต่ในข่าวร้ายยังมีข่าวดีที่ว่า “โรคนี้โอกาสรักษาหายง่ายเป็นอันดับต้นๆของมะเร็งม็ดเลือดขาวนะครับ
อย่าพึ่งตกใจไป”
“แล้วโอกาสที่ว่ามันประมาณเท่าไหร่อะครับ”
“ประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์โอกาสหายครับ”
ตอนนั้นไม่อยากจะบอกว่า คนที่มองโลกในแง่ดีอย่างผมมองว่า 80
เปอร์เซ็นต์เป็นตัวเลขที่ยังไม่มากพอทำให้ผมโล่งใจได้ เนื่องจากลองคิดดูสิครับ
โอกาสคนที่จะป่วยเป็นโรคนี้ได้
มันหนึ่งในแสนหรือหนึ่งในล้านคนก็ว่าได้ผมยังเป็นหนึ่งในตัวเลขที่แทบจะเป็นไปไม่ได้มาแล้ว
อีก 20 เปอร์เซ็นต์มันก็ไม่ใช่จะต่างอะไรมากเท่าไร
หลังจากนั้นผมก็พูดคุยกับคุณหมอเรื่องคำถามอื่นๆเช่น
สาเหตุของโรค ซึ่งในปัจจุบันยังไม่สามารถระบุได้อย่างแน่ชัด รวมไปถึงระยะเวลารักษา
และคุณหมอท่านก็อธิบายว่าผมจำเป็นต้องผ่าที่บริเวณต้นขาเพื่อสอดสายน้ำเกลือเนื่องจาก
ตอนถ่ายเลือด ให้น้ำเกลือ และการทำคีโม นั้นต้องการท่อที่กว้างพอสมควร
มากกว่าสายน้ำเกลือปกติ ปกติแล้วต้องผ่าที่บริเวณหัวไหล่
แต่เนื่องจากว่าผมมีเกร็ดเลือดน้อย ทำให้อันตรายเพราะว่าใกล้หัวใจเกินไป
จึงต้องสอดที่ต้นขาแทน
แน่นอนว่าผมกลัวมากเพียงแต่สภาพตอนนั้นช็อกเสียมากกว่าจึงจำความไม่ค่อยได้ซักเท่าไร
เมื่อเวลาผ่านไปซักพัก ผมก็ได้ทานข้าวมื้อแรกในรอบ 24
ชม. ซึ่งเป็นมื้อที่ล้ำค่ามาก (ผมจะเล่าต่อในตอนต่อไปว่าทำไมนะครับ)
ได้คุยกับเพื่อนที่มาเยี่ยมสองสามคน
ก่อนที่เพื่อนกลุ่มถัดมาจะโดนห้ามเข้าเยี่ยมเนื่องจาก
เม็ดเลือดขาวต่ำทำให้ร่างกายอ่อนแอกว่าคนปกติ
พอเวลาผ่านไปซักพักผมก็หลับไปด้วยความเพลียจากการตรวจทั้งวัน
To be continued…..
อยากอ่านต่อแร้ว
ReplyDeleteว่าแต่ทำไม สัดส่วนเป็น 6/14 อ่า
ขอบคุณครับพี่ ตอนนี้กำลังเขียนต่ออยู่ครับ
Deleteอาจจะโพสต่อได้ในอีกสองสามวันข้างหน้านี้
ส่วน 6/14 เป็นเรทของฮีโมโกลบินครับ
ผู้ใหญ่เพศชายปกติจะมี 13.8gm/dl อ่ะครับ
ตอนนั้นผมเหลือหกกว่าๆครับ
ผมแก้ส่วนนี้เพิ่มเติมกับบทความข้างบนละครับ
เมิงทำสือขาย กุยอมเสียตังซื้เลยออะ
ReplyDeleteใครจะมายอมพิมพ์ให้ผมครับ
Deleteป๋าซีลระดับโลก ใครจะเป็นระดับโลกไม่ใช่ง่ายๆ ย่อมเป็น 1 ในล้านอยู่แล้ววววว =)
Delete-*- ป๋าเอ็มตามมายำถึงในนี้เลยเหรอครับ
Deleteเฮือก! ไม่รู้จะพูดอะไรเลย ดูมันลำบากมากๆ ... ดีแล้วที่ตอนนี้สบายดี
ReplyDeleteขอบคุณครับ ^^
Delete