Friday, June 14, 2013

Perk Series Part-2: How I stayed with a cancer perk.

คำอธิบายเพิ่มเติม

            ขอผมอธิบายอย่างสั้นๆเกี่ยวกับโรคก่อนจะเล่าต่อนะครับ ผมพยายามตัดเนื้อหาและเขียนให้เข้าใจง่ายเท่าที่ผมจะทำได้ละครับ ต้องขอออกตัวว่าผมเองไม่ใช่หมอหรือเชี่ยวชาญด้านนี้ ถ้าหากผมเขียนผิดพลาด ผมยินดีรับฟังและแก้เนื้อหาให้ถูกต้องทันทีครับ ถ้าหากสนใจเนื้อหามากกว่านี้รบกวน Google หรืออ่านผ่านทาง Wikipedia ดูได้ครับมีเนื้อหาที่เขียนละเอียดดีๆ กว่าของผมเยอะครับ

            โดยคร่าวๆ โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาดแบ่งออกเป็นสองประเภทใหญ่ๆคือ Chronic(เรื้อรัง) กับ Acute(เฉียบพลัน) ครับ

            เริ่มที่ประเภทเรื้อรังก่อนนะครับ จากข้อมูลตามอินเตอร์เน็ตประเภทเรื้อรังจะมีการที่รุนแรงน้อยกว่าประเภทเฉียบพลัน แต่อาจจะรักษาหายได้ยากกว่า โดยบางประเภทอาจจะต้องรับการตรวจและรับประทานยาเป็นระยะๆ หากจะให้หายขาดอาจจะต้อง”เปลี่ยนถ่ายไขกระดูก” เหมือนที่บางท่านอาจจะเคยอ่านหนังสือ หรือดูผ่านหนังต่างๆ

            ส่วนอาการของผมเป็นแบบประเภทเฉียบพลันซึ่งตรงกันข้ามกับประเภทเรื้อรังโดยอาการจะรุนแรง (อันตรายอาจจะถึงชีวิต เหมือนในกรณีของผมแต่มีความน่าจะเป็นที่จะสามารถรักษาให้หายได้สูงกว่า โดยการทำเคมีบำบัด, ฉายรังสี และอื่นๆครับ

            เท่าที่ผมทราบในปัจจุบันสาเหตุหลักของการเกิดโรคยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด อาจเกิดจากกัมมันตภาพรังสี, การส่งต่อผ่านทางพันธุกรรม หรือสารเคมีรุนแรง และอื่นๆครับ อาการโดยคร่าวๆคือไขกระดูกไม่สามารถแบ่งเซลล์ได้เหมือนคนปกติทั่วไป ทำให้เม็ดเลือดขาว, เม็ดเลือดแดง รวมไปถึงเกล็ดเลือดจะมีปริมาณผิดปกติ โดยเม็ดเลือดขาวจะมีหน้าที่เป็นตำรวจปราบปรามผู้ร้ายในร่างกาย (เชื้อโรคต่างๆ), เม็ดเลือดแดงรวมไปถึงฮีโมโกลบินจะทำหน้าที่ลำเลียงออกซิเจนไปส่วนต่างๆของร่างกายและเกล็ดเลือดจะทำหน้าที่สมานแผลทำให้เลือดหยุดไหลครั

ผู้ป่วยโรคนี้เม็ดเลือดขาวจะมีมากกว่าความต้องการปกติแต่ในกรณีผู้ป่วยโรคนี้เม็ดเลือดขาวที่มีเซลล์มะเร็งเสียส่วนใหญ่ ร่างกายก็เปรียบได้กับการที่บ้านเมืองที่มีตำรวจตามท้องถนนมากมายแต่ไม่ได้ช่วยในการจับโจรผู้ร้ายแต่อย่างใด ทำให้บ้านเมืองไม่ได้สงบสุขแถมยังทำให้ประชาชนต้องเสียภาษีเพิ่มแทนที่จะเอาไว้ใช้ดำรงชีวิตต่อ (ไม่ได้พาดพิงไปในกรณีใดๆนะครับ)

ซึ่งในกรณีของผม ขอสันนิษฐานว่าเกิดจากความเครียด ทำให้เกิดกรดที่มากกว่าปกติในกระเพาะอาหาร และทำให้เกิดแผลภายใน ต่อมาเป็นเหตุให้เสียเลือดมากเพราะว่าเกล็ดเลือดต่ำ เลือดจึงหยุดไหลและเป็นที่มาของการล้มป่วยที่ได้กล่าวไปในตอนที่แล้วครับ ถ้าหากผมตรวจพบเจอก่อนหน้านี้อาการอาจจะไม่ได้รุนแรงเท่านี้ครับ เพิ่มเติมอีกนิดว่า ผมเป็นคนไม่สูบบุหรี่ ไม่ทานอาหารสำเร็จรูปจำพวกมาม่า เครื่องดื่มแอลกอฮอร์ก็ดื่มไม่เกิน 2-3 ครั้งต่อเดือน แม้ว่าอาจจะไม่ได้ออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องแต่ก็ออกบ้างในระดับหนึ่ง ผมจึงไม่เคยคิดซักครั้งว่าตัวเองจะป่วยได้แม้แต่นิดเดียวครับ

คืนแรกของ “ผู้ป่วยโรคมะเร็ง”

            หลังจากรู้ว่าตัวเองป่วยเป็นโรคมะเร็งชนิดหนึ่ง ก็ได้แจ้งให้เพื่อนๆทราบ ผ่านทางเฟสบุ้ค รวมถึงติดต่อครอบครัวไป (ยังมีหลายต่อหลายคนไม่เชื่อ มีหลายคอมเม้นท์ในเฟสบุ้คมาต่อว่าผมประมาณว่าอย่าล้อเล่นอะไรแบบนี้ มันไม่ตลกนะ) ถ้าจะถามความรู้สึกตอนนั้น ผมต้องขออภัยว่าความทรงจำช่วงนั้นเลือนลางมากจริงๆครับ ผมจำไม่ได้แม้กระทั่งว่าตัวเองร้องไห้ไปเพราะว่าป่วยรึเปล่าด้วยซ้ำไป โดยอาการยังทรุดต่อเนื่อง

เมื่อตกดึกคืนนั้นผมยังท้องเสียถ่ายเป็นเลือดเหมือนก่อนหน้าอีกเช่นเคย ซึ่งสาเหตุมาจากเกล็ดเลือดที่ปกติทำให้เลือดหยุดไหลหรือสมานแผลเข้าด้วยกันมีปริมาณน้อยมากกว่าคนปกติทั่วไป และในเวลาต่อมาก็หมดสติสลับกับสติเลือนลางด้วยสาเหตุเดิมเมื่อตอนล้มป่วยที่ว่าเม็ดเลือดแดงน้อยทำให้ออกซิเจนไหลเวียนได้ไม่ปกติ

แม้ว่าจะได้รับการถ่ายเลือดถึงห้าถุงในรอบ 24 ชม. เปรียบเสมือนขวดน้ำที่มีรูรั่วยังไงก็ไม่สามารถเติมให้เต็มได้ ไม่ว่าจะเทน้ำลงไปเยอะขนาดไหน ผมต้องหมดสติสลับกับหลับๆตื่นๆเนื่องจากความเพลียอยู่เป็นเวลาสองวัน พอมารู้สึกตัวอีกทีผมก็ถูกย้ายมาอีกห้องที่ใกล้กับเคาท์เตอร์ที่พยาบาลประจำชั้นอยู่ ช่วงนั้นผมปิดเสียงโทรศัพท์มือถือตัวเอง ทำให้ภายหลังโดนทางบ้านติเตียนอย่างหนักว่าทำไมถึงติดต่อไม่ได้ รวมทั้งเพื่อนๆก็ไม่สามารถตอบได้เช่นกัน เพราะว่าทางโรงพยาบาลงดการเข้าเยี่ยม ทางมหาลัยของผมเองรวมไปถึงทางสถานกงสุลไทยในประเทศญี่ปุ่นที่เพื่อนผมติดต่อไปก็ไม่สามารถสอบถามเรื่องได้อย่างละเอียดเพราะว่าถือเป็นข้อมูลส่วนตัวจำเป็นต้องให้ผมยินยอมที่จะให้เปิดเผยได้เสียก่อน
ระหว่างนี้ผมก็รับการตรวจส่วนอื่นๆของร่างกายอย่างต่อเนื่องจำพวก CT, MRI, X-ray, วัดคลื่นหัวใจและอื่นๆอีกมากมาย ก็รวมอยู่ด้วยเนื่องจากที่ได้แจ้งไปข้างต้นว่าเกล็ดเลือดต่ำทำให้เลือดหยุดไหลยาก หากร่างกายส่วนอื่นๆเป็นแผลโดยเฉพาะบริเวณสมองจะเป็นอันตรายอย่างมาก

เมื่อพ้นช่วงข้างต้นมาได้ ผมจำได้ว่าผมนอนจนปวดไปทั้งตัว หลายคนอาจจะไม่เข้าใจว่าเท่าไร คือลองจินตนการดูเวลานั่งทำงานนานๆ ตัวจะเมื่อยตึงไปเป็นส่วนๆใช่รึเปล่าครับ ส่วนผมก็เป็นในกรณีเดียวกันเนื่องจากต้องนอนท่าเดิมเกือบ 72 ชม. ทำให้ร่างกายปวดเมื่อยสุดๆ แม้ว่ากลับมาติดต่อกับเพื่อนๆและครอบครัวได้เช่นเดิม แต่ผมไม่สามารถแม้แต่จะลุกขึ้นนั่งได้อย่างปกติ

ข่าวร้ายชุดถัดมา

            ประเด็นที่ทำให้ผมรู้สึกทรมานมันเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งอย่างโดยคุณหมอที่ดูแลสั่งงดไม่ให้ผมรับประทานอาหารครับ เนื่องจากว่ามีความเป็นไปได้ว่าแผลในท้องยังไม่หายสนิท จึงควรที่จะลดภาระของการรักษาให้มากที่เท่าที่จะทำได้ หลายๆคนอ่านมาถึงตอนนี้อาจจะคิดว่า ไม่ต้องกินข้าวจะเป็นอะไรเลยหนิครับ ทำเป็นตะกละโอดครวญไปได้ แต่จริงๆแล้ว เป็นหนึ่งความลำบากที่ต้องตอบว่าถ้าไม่โดนด้วยตัวเองอาจจะไม่เข้าใจถึงความลำบาก ลองนึกง่ายๆแค่ต้องกินอาหารซ้ำๆกันแบบเดิมติดกันเรื่อยๆทุกๆมื้อ โดยให้ทานได้แค่น้ำเพิ่มเติมเท่านั้น (ไม่สามารถดื่มน้ำอัดลมได้ด้วยเช่นกัน) ซึ่งผมต้องทนเป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็มๆที่ไม่มีอะไรตกถึงท้องนอกจากยา, น้ำเปล่าและน้ำชาเท่านั้นครับ (ภายหลังได้รับอนุญาตให้ทานลูกอมกับหมากฝรั่งได้เนื่องจากไม่จำเป็นต้องย่อย) อีกทั้งน้ำดื่มข้างต้นในช่วงนี้ต้องดื่มวันต่อวันเท่านั้นครับ หากเปิดขวดแล้วดื่มไม่หมดภายในยี่สิบสี่ชั่วโมงไม่สามารถดื่มต่อได้เพราะว่าจะมีความเสี่ยงในเรื่องแบคทีเรียและจำเป็นต้องผลิตในญี่ปุ่นเท่านั้น (ทางโรงพยาบาลให้เหตุผลว่าน้ำที่ผลิดที่อื่นอาจจะมีแบคทีเรียหรือมาตรฐานที่ต่ำกว่า) โดยผมได้ทราบเรื่องนี้หลังผมขอร้องให้เพื่อนผมแบกน้ำในวันฝนตกมาให้หนึ่งโลก แต่ก็ต้องแบกกลับไปเนื่องจากเหตุผลนี้ครับ ถึงตอนนี้ผมยังโดนแซวอยู่เป็นระยะๆเช่นกันครับ

            ช่วงนี้โดยรวมผมทำการถ่ายเลือดและเกล็ดเลือดสลับเป็นช่วงๆ เพื่อไม่ให้อาการย่ำแย่ไปกว่านี้ แต่ก็ยังมีอาการที่ทรุดลงเป็นระยะๆ เนื่องจากผลข้างเคียงของยาที่ใช้รักษาจะทำให้เม็ดเลือดไม่ปกติ มีอยู่ช่วงหนึ่งออกซิเจนในร่างกายน้อยมากจนต้องใส่หน้ากากออกซิเจน และแน่นอนว่าตอนนี้ผมมีเครื่องวัดคลื่นหัวใจติดตัวตลอดเวลาเช่นกัน เวลาถ่ายปัสสาวะหรืออุจจาระก็ต้องให้พยาบาลช่วยพยุง และต้องใส่ผ้าอ้อมผู้ใหญ่เนื่องจากในบางเวลาเลือดยังไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง และอาจจะไม่ทันการหากอาการผมแย่ไปกว่านี้จนไม่สามารถลุกขึ้นได้อย่างปกติ แต่ผมทำใจไม่ได้และไม่ได้ถ่ายในผ้าอ้อมเลยครับ เพราะว่ายังไงก็รู้สึกผิดปกติ ที่ต้องขับถ่ายแบบนี้

มรสุมเริ่มผ่านไป

            ช่วงนี้เปรียบเสมือนฟ้าหลังฝนจริงๆครับ หลังจากเวลาผ่านมรสุมชีวิตมาได้ 2-3 วันอาการเริ่มทรงตัวขึ้นเรื่อยๆ สามารถลุกขึ้นได้ ยืนและเดินในระยะสั้นๆได้บ้าง ทางพ่อและน้องสาวก็ได้เข้ามาเยี่ยมได้มาพูดคุยในช่วงเวลาหนึ่ง พร้อมกับได้รับคำอธิบายเกี่ยวกับเรื่องโรคนี้พร้อมกับทำหน้าที่เป็นล่ามแปลให้พ่อและน้องสาวทราบ ก่อนหน้านี้เท่าที่ผมทราบคือต้องรักษาโดยเป็นระยะเวลาหนึ่งเดือน แต่มันกลายเป็นหนึ่งเดือนแค่ทำให้ร่างกายกลับมาเป็นปกติเฉยๆ หากจะต้องรักษาให้หายต้องใช้เวลาอีก 3 ช่วงเพื่อการทำเคมีบำบัดหรือที่ทราบกันในชื่อคีโมนั่นเองครับ


แต่ละช่วงจำเป็นต้องใช้เวลาโดยประมาณ 1 เดือนซึ่งระหว่างนั้นสามารถใช้ชีวิตภายนอกได้เหมือนคนปกติแต่ต้องทานยาอย่างต่อเนื่อง ช่วงนี้ผมอารมณ์ดีกว่าปกติมากๆ อีกทั้งทางบ้านผมสัญญาว่าจะมาเยี่ยมอีกครั้งและไปเที่ยวโตเกียวกันตอนช่วงสงกรานต์หรืออีกสองเดือนถัดไป (คุณหมอก็ยินยอม) ถือว่าเป็นข่าวดีในรอบหลายๆวันครับ

            เนื่องจากกรณีของผมต้องเคมีบำบัดเพื่อที่จะรักษาไขกระดูกให้กลับมาแบ่งเซลล์ได้อย่างปกติ รวมไปถึงปราบปรามเซลล์มะเร็งออกไปให้หมดด้วย แต่แน่นอนว่าข้อเสียในการทำเคมีบำบัดคือเซลล์เม็ดเลือดขาวดีๆก็จะต้องโดยลบออกไปด้วย จึงจำเป็นต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด ไม่งั้นอาการอาจจะรุนแรงได้

            การทำเคมีบำบัดในแต่ละรอบก็เปรียบเสมือนการทำลายล้างเซลล์มะเร็งแบบเดียวกับการเผาหญ้าในป่าบางส่วนเพื่อรอให้เซลล์ที่อุดมสมบูรณ์กว่าฟื้นฟูกลับมา จำนวนครั้งในการรักษาอาจจะไม่เท่ากันในแต่ละเคสของผู้ป่วย ซึ่งของผมเป็น 4 ครั้งตามที่ได้กล่าวไปข้างต้น โดยเมื่อเคมีบำบัดได้เข้าไปทำลายเซลล์ทั้งหมดนั้น จะทำให้เปรียบเสมือนร่ายกายที่ไร้การป้องกัน ทำให้สุ่มเสี่ยงเป็นโรคแทรกซ้อนได้ง่าย จึงจำเป็นต้องอยู่ในการดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างใกล้ชิดครับ พอร่างกายกลับอยู่ในช่วงฟื้นตัวก็จะสามารถออกไปใช้ชีวิตภายนอกได้ โดยระหว่างช่วงการทำเคมีบำบัดจะวัดผลได้จากการตรวจไขกระดูกเพื่อวัดระดับความผิดปกติในแต่ละครั้งครับ (ตอนที่คุณหมออธิบายถึงจุดนี้ ผมสะดุ้งและซึมไปซักพักครับ ข้อย้ำอีกครั้งว่าเจ็บมาก)

            หลังจากพ่อและน้องสาวของผมเดินทางกลับไปที่ประเทศไทยได้ไม่นานผมก็ได้ย้ายกลับไปห้องที่อยู่ตอนแรก เนื่องจากมีเครื่องค่าเชื้ออยู่ในห้อง โดยผมขอให้เพื่อนๆผมขนสิ่งที่ผมจะแก้เบื่อในช่วงเวลานี้ได้มาเกือบทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นหนังสือทั้งภาษาไทยและภาษาญี่ปุ่น หนังสือเรียนภาษาญี่ปุ่น เครื่องเกมทั้ง PSP, PS3 รวมไปถึง Laptop กับ Air Card 3G ที่ทำให้ใช้อินเตอร์เน็ตได้แม้ว่าความเร็วจะต่ำมากแต่ก็ยังใช้ติดต่อกับเพื่อนๆครอบครัวได้ (ขอบคุณทุกๆคนอีกครั้งที่ยอมเป็นธุระให้นะครับ)
ในช่วงนี้ผมเริ่มกลับมาสดใสกว่าเดิมเพราะว่าเหมือนได้พักอย่างเต็มที่ นอนแต่หัวค่ำ (ช่วงสี่ทุ่มโรงพยาบาลจะปิดไฟทั้งหมด) และตื่นแต่เช้ามืด (ประมาณตีห้าเศษๆต้องถูกปลุกมาตรวจเลือดที่ความถี่สองวันครั้ง) ช่วงนั้นผมแอบรู้สึกว่าถ้าอยู่แบบนี้หกเดือนก็ไม่ได้แย่เท่าไรเพราะว่างานอดิเรกของผมส่วนใหญ่สามารถทำต่อได้ ผมได้อ่านหนังสือที่อ่านค้างไว้, ดูหนัง, ละครที่ดองไว้แรมปีและอ่านหนังสือทบทวนความรู้ไปได้อย่างสบายๆ พร้อมกับการฝึกภาษาญี่ปุ่นไปในตัว เวลาที่มีก็เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลเพราะว่าไม่ต้องใช้เวลากับการเดินทาง การเตรียมหรือรับประทานอาหาร(โดนสั่งงด) และอื่นๆ

ไข้ขึ้นแต่ไม่ลด

แต่ชีวิตมันไม่ง่ายขนาดนั้นสิครับหลังจากผ่านมาได้ครึ่งทางของเดือนแรก (15 วันหลังจากเข้าโรงพยาบาล) ผมได้คอมตามที่ต้องการและวางแผนจะเริ่มเขียนปริญญานิพนธ์ให้เสร็จให้เร็วที่สุดเนื่องจากทราบว่าอาการไม่ทรงตัวเท่าไร ก็มีข่าวร้ายบั่นทอนกำลังใจเนืองๆ อย่างเช่นอาเจียนเป็นระยะๆ จนต้องฉีดยาระงับ (สามารถฉีดผ่านสายน้ำเกลือได้) ผมค่อยๆร่วงตกตามพื้นเตียงทุกๆวันเพราะผลข้างเคียงของการทำเคมีบำบัดจนต้องโกนผมออก หรือปริมาณเกล็ดเลือดไม่เพิ่มขึ้นเท่าไร (หมายความว่าผมจะไม่ได้รับประทานอาหารต่อไป) หรือใบสมัครงานที่ผมยื่นที่บริษัทต่างๆเริ่มผ่านแต่ผมไม่สามารถออกไปสัมภาษณ์ได้และอื่นๆอีกมากมาย

และแล้วก็มีไข้ขึ้นแม้ว่าจะอยู่ในห้องค่าเชื้อตลอดเวลา สันนิษฐานได้ว่าอาจจะเป็นเนื่องจากสิ่งของที่เพื่อนๆนำมาให้มีเชื้อโรคอยู่ภายใน ไข้พุ่งขึ้นซึ่งเฉลี่ยที่ 40 เศษๆ (มากสุดอยู่ที่ 42.5 องศา แม้ว่าจะทานยาลดไข้วันละ 3-4 ครั้ง (ตามที่ร่างกายสามารถรับได้มากที่สุด) ไข้จะลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 38-39 ซึ่งเป็นระดับของคนป่วยเป็นโรคไข้หวัดใหญ่ทั่วไปปวดหัว, ไม่มีแรง, ตัวร้อนสลับกับรู้สึกหนาวสั่นภายในแม้ว่าอาการในห้องจะเปิดเครื่องทำความร้อนตลอดเวลา จนสามารถบอกได้ว่าวันไหนไข้ต่ำกว่า 40 องศาเซลเซียสนั้นเป็นวันที่อาการจัดว่าดีแล้ว จนผมสามารถบอกได้ด้วยตัวเองว่าช่วงนี้ไข้กำลังจะขึ้นโดยไม่ต้องอาศัยปรอทวัดไข้แต่อย่างใด นี่เป็นอาการแรกของระยะที่ร่างกายจะอ่อนแอซึ่งผมก็ได้ผ่านการตรวจเช็คแล้วว่าเป็นไข้ที่เป็นอยู่นี้แค่แบคทีเรียทั่วๆไป ซึ่งแน่นอนว่าคนทั่วไปจะไม่มีอาการแบบเดียวกับผมแน่นอน ไม่ใช่ไวรัสอย่างไข้หวัดใหญ่ ผมจึงเข้าใจสภาพทันทีว่าทำไมโรคนี้ถึงเป็นโรคที่อันตราย อยู่ในสภาพแบบเดียวกันนี้ทุกๆวันตลอดสองสัปดาห์ (ลองจินตนาการตามว่าคุณมีไข้ล่าสุดเท่าไรและนานเท่าไรครับ)

ด้วยสาเหตุเดิมที่ว่าเกล็ดเลือดต่ำ แค่เดินพลาดเอาเท้าหรือหัวเข่ากระแทกกับโต๊ะ, เตียงหรือกำแพงด้วยความแรงสองเท่าของการเคาะประตู ก็ทำให้ผมมีแผลช้ำได้แล้ว ยิ่งไข้ขึ้นทำให้ควบคุมร่างกายได้ไม่เต็มที่จึงบอกได้ว่าช่วงนั้นผมกลายเป็นเสือดาวที่มีลายช้ำเป็นจ้ำๆอยู่ทั่วๆไป

ที่แย่ยิ่งกว่านั้น

หลังจากไข้ขึ้นสูงได้สองสามวัน ผมยังอดทนเล่นคอมบ้างบางเวลา แต่อยู่มาวันหนึ่งรู้สึกตาพร่า(เสมือนคนสายตาสั้นแต่ไม่ได้ใส่แว่น หรือใส่แว่นแต่แว่นโดนมัวราวกับมีไอน้ำเกาะตลอดเวลา) ในช่วงแรกก็ไม่ได้เอะใจซักเท่าไรคิดว่าเราคงเล่นคอมมากเกินไปร่างกายคงรับไม่ไหวมั้ง นอนพักสายตาก่อนละกัน แต่แล้วหลังจากผ่านไปหนึ่งวันอาการไม่ได้ดีขึ้นเลย ผมไม่สามารถอ่านตัวหนังสือได้แม้แต่น้อย แยกแยะใบหน้าของคนไม่ออก เห็นแค่สีเป็นบล็อคๆไป คือผมไม่สามารถจำความได้ว่าผมร้องไห้หรือเปล่าหลังจากที่ทราบว่าเป็นโรคนี้ แต่ผมจำได้อย่างแน่ชัดว่าตอนที่ผมมองไม่เห็นผมร้องไห้แน่นอนเป็นเวลานานมากด้วย ถ้าหากผมเกิดมองไม่เห็นแล้วชีวิตของผมก็คงไม่เหลืออะไรแล้วจริงๆ

นี่มันอะไรกันครับเนี่ย.... หรือว่าผมจะตาบอดแล้ว?????? แอบรำพึงกับตัวเองพร้อมด้วยน้ำตาที่ไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง

To be continued…

ปล. หากท่านใดมีคำถามอยากถามเพิ่มเติม โพสต์ลงคอมเม้นท์ด้านล่างได้เลยครับ ผมอ่านทุกคอมเม้นท์ครับ และหากท่านใดอยากจะแชร์บทความนี้ก็ตามแต่สะดวกเลยครับ ผมดีใจที่จะมีคนอ่านบันทึกของผมเพิ่มขึ้น และก็ขออภัยเพิ่มเติมที่ผมไม่สามารถเขียนได้เร็วไวซักเท่าไรอีกครั้ง เนื่องจากจำเป็นต้องเรียนและทำการบ้านที่ยุ่งในระดับหนึ่งครับ 

No comments:

Post a Comment