บทความนี้จะเป็นบทความชิ้นสุดท้ายที่ผมจะเล่าเรื่องเกี่ยวกับอาการป่วยของตัวเองละครับ
(อย่าพึ่งเบื่อกันนะครับ) ในครั้งนี้ผมจะเล่าถึงด้าน ดีๆจากโรคนี้บ้าง หลายคนอาจจะมองว่าผมดูโชคร้าย น่าสงสาร ในตอนแรกผมก็คิดแบบนั้นเหมือนกันครับ
ช่วงที่ป่วยอยู่ผมเคยอ่านบันทึกของคนที่หายป่วยจากโรคร้ายต่างๆ และสิ่งที่ผมไม่เห็นด้วยมากที่สุดคือคนส่วนใหญ่กล่าวไว้ว่า
“พวกเขาจะไม่ยอมแลกประสบการณ์ตอนป่วยแบบนั้นกับสิ่งอื่นๆในชีวิต”
ผมในตอนนั้นคิดว่ามันบ้ามากเกินไปแล้วครับ
ผมยอมแลกทุกสิ่งทุกอย่างกับสภาพในตอนนั้นเพื่อให้ตัวเองหายป่วยให้เร็วที่สุดด้วยซ้ำไปครับ
“พวกเขาจะไม่ยอมแลกประสบการณ์ตอนป่วยแบบนั้นกับสิ่งอื่นๆในชีวิต”
แต่ทว่าในตอนนี้ผมกลับรู้สึกว่าสิ่งที่ชื่อว่ามะเร็งมันไม่ใช่กรรม
มันก็มีด้านที่ดีของมันเช่นกัน ผมขอเลือกใช้คำว่า “Cancer Perk” (ผมติดใจคำนี้จากหนังสือชื่อ
“The Fault In Our Stars” ของ John Green)
ผมได้เรียนรู้อะไรหลายๆอย่างจากอาการป่วยและมันติดกับตัวผมตั้งแต่เวลานั้นมาตลอด ผมจึงอยากจะมาเล่าให้ทุกคนเข้าใจถึงเหตุผลดังกล่าว ที่ทำไมทำให้ผมมองประสบการณ์นี้ล้ำค่ามากที่สุดในชีวิตเหมือนกับคนอื่นๆครับ
ผมได้เรียนรู้อะไรหลายๆอย่างจากอาการป่วยและมันติดกับตัวผมตั้งแต่เวลานั้นมาตลอด ผมจึงอยากจะมาเล่าให้ทุกคนเข้าใจถึงเหตุผลดังกล่าว ที่ทำไมทำให้ผมมองประสบการณ์นี้ล้ำค่ามากที่สุดในชีวิตเหมือนกับคนอื่นๆครับ
ก่อนจะเล่าต่อไปผมขอออกตัวก่อนนะครับว่า ทั้งหมดนี้เป็นแค่บันทึกหรือความเห็นส่วนตัวของผมเท่านั้น
ผมไม่ได้อยากจะเขียนบทความเพื่อจะตักเตือนหรือสั่งสอนใคร แค่อยากจะแชร์มุมมองประสบการณ์ในแบบของผมเท่านั้น
Cancer Perk ทำให้....
ผม ... รู้จักการมองโลกทุกอย่างในแง่ดี
ก่อนหน้าที่ผมจะล้มป่วย
ผมรู้ตัวเองว่าเป็นคนที่คิดมากอยู่ตลอดเวลา ทำอะไรต้องให้ได้ดั่งใจตามที่หวังและชอบโทษตัวเองอยู่เสมอเมื่อทำผิดพลาดในสิ่งต่างๆ
แต่พอมาเจอเหตุการณ์แบบนี้ ผมเจอกับความผิดหวังหลายต่อหลายครั้ง (ไม่ว่าจะเป็นอาการที่คาดไม่ถึง
หรือโอกาสที่นับไม่ถ้วนที่ต้องหลุดลอยออกไป) มากจนทำให้ผมรู้จักคำๆนึงที่มีชื่อว่า
“ปล่อยวาง”
คำว่า “ปล่อยวาง” ทำให้ผมดีใจกับทุกสิ่งทุกอย่างตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาลมา
ผมดีใจกับการกลับมาใช้ชีวิตแบบคนปกติทั่วไป ความลำบากก็เหมือนเป็นสีสันของชีวิตเหมือนคอยเตือนว่าเรายังมีชีวิตอยู่ซะมากกว่า
เมื่อผมเจอเหตุการณ์เครียดๆหรือลำบากๆ ผมก็แค่บอกกับตัวเองว่า “แล้วยังไงละ
ก็ยังแข็งแรงอยู่ก็พอละหนิ” ในบางครั้งผมยังยิ้มออกมาเวลาที่ตัวเองเครียดๆ โดยไม่รู้ตัวด้วยซ้ำไปครับ
ผม ... รู้ว่าสุขภาพนั้นไม่ยั่งยืน
อย่างที่ผมเคยเล่าไปว่าผมเป็นคนที่อาจจะไม่ใช่คนที่แข็งแรงแบบนักกีฬา
แต่ผมก็เล่นกีฬาออกกำลังกายบ้างในระดับคนทั่วไป ไม่สูบบุหรี่ ไม่ทานบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป
ไม่ติดเหล้า ไม่เคยล้มป่วยถึงขนาดนอนโรงพยาบาลมาก่อนตั้งแต่เกิดมา
แต่พอผมเจอเหตุการณ์นี้ด้วยตัวเอง รวมไปถึงการที่ตามองไม่เห็นเป็นเวลาเกือบสองเดือน
ผมรู้ว่าผมควรจะถนอมร่างกายให้มากกว่านี้เพื่อทำให้ผมยังสามารถดำเนินชีวิตอย่างที่ชอบต่อไปได้
ผมเคยได้ยินแต่คนรอบข้างของผมพูดว่า “คนเราไม่ป่วยหรือตายง่ายๆหรอก
ทำงานหรือเที่ยวเล่นโต้รุ่งเป็นเรื่องปกติไป” (ผมเชื่อว่าหลายๆคนยังคิดแบบนั้นอยู่เพราะว่าแต่ก่อนผมก็เป็นเหมือนกัน)
ผมปรับแนวคิดนี้ใหม่แล้วหันมาใส่ใจให้กับตัวเองมากขึ้นแทนครับ
ผมเลือกที่จะพักเมื่อตัวเองเหนื่อยและเลือกที่จะไม่ฝืนตัวเอง
ถ้าหากล้มป่วยอีกครั้งสิ่งที่กำลังทำอยู่จะล้มพังระเนระนาดลงมาและจะแย่ยิ่งกว่าถ้าหากผมไม่ได้ทำสิ่งที่ตัวเองชอบต่อไป
ผม ... รู้จักวิธีการใช้ชีวิตอย่างมีความสุข
ผมได้เรียนรู้ว่าผมต้องให้รางวัลกับตัวเองอยู่ตลอดเวลา
แน่นอนว่ามันเป็นที่มาของนิสัยหลายๆอย่างที่เปลี่ยนไป ผมเริ่มนิสัยที่จะแบ่งเวลาเพื่อมาเล่นหรือทำสิ่งที่ตัวเองอยากทำ
เพื่อให้สบายใจมากที่สุด ผมฉลองกับสิ่งเล็กๆน้อยๆทุกสัปดาห์
ไม่ว่าจะเป็นหลังสอบเสร็จหรือแม้แค่หลังส่งการบ้าน ผมเรียนรู้ที่จะหาความสุขให้กับตัวเองด้วยวิธีต่างๆ
แม้ว่าอาจจะเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีเสียเท่าไร
เพราะการใช้เวลาไปกับสิ่งอื่นในช่วงที่ใกล้เดทไลน์ หลายๆคนอาจจะมองว่าผมไม่ทุ่มเทกับสิ่งที่ทำอยู่
แต่ในตอนนี้ผมมองว่าการใช้ชีวิตอยู่เป็นเรื่องสำคัญมากกว่าสิ่งอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นช่วงที่งานยุ่งสุดๆ
ผมเลือกที่จะวางงาน การบ้านหรือธุระต่างๆ และมาเติมความสุขให้กับตัวเองเป็นประจำมากกว่า
ผม ... มีเพื่อนและคนรอบข้างที่ใครๆต้องอิจฉา
เคยได้ยินคำกล่าวนี้มั้ยครับ “เพื่อนกินหาง่าย
เพื่อนตายหายาก” พวกเราต่างโดนสอนมาด้วยบทเรียนเดียวกันตั้งแต่เด็ก แต่มันกลับกันครับ
เพื่อนๆทุกคนห่วงใยและคอยช่วยเหลือผมทุกๆอย่างจนกระทั่งผมหายป่วยเป็นปกติ
ไม่ว่าจะเป็นกำลังใจจากทุกทาง หรือการช่วยเหลือต่างๆรวมไปถึงการมาเยี่ยม
ซื้อขนมของกินมาฝาก เป็นเพื่อนพูดคุยทุกๆช่องทาง เวลาผมต้องนอนเหงาและเบื่ออยู่ในโรงพยาบาล
(ทุกๆข้อความของเพื่อนๆช่วยให้ผมผ่านความยากลำบากทั้งหมดมาได้จริงๆครับ)
จากเพื่อนที่แทบจะไม่เคยคุยกันยังติดต่อมาหา มาเข้าเยี่ยมและบางคนถึงกับกลายเป็นเพื่อนสนิทยิ่งกว่าเดิมด้วยซ้ำไป
ถ้าหากว่าคำกล่าวข้างต้นเป็นจริง ผมก็คงเป็นคนที่โชคดีสุดๆ
เพราะผมไม่เห็นว่าเพื่อนตายจะหายากกว่ายังไงเลยครับ
เก็บตก...ไม่รู้จะเล่าตรงไหนดี
1. ตั้งแต่ผมเข้าโรงพยาบาลผมน้ำหนักลดไป
13 กิโลได้ แต่มันก็เพิ่มขึ้น 5 กิโลภายในห้าวันที่ผมออกจากโรงพยาบาลครั้งสุดท้ายแม้ว่าผมจะลดปริมาณการกินลง
และสุดท้ายมันก็กลับมาเท่าเดิมภายในหนึ่งเดือน
ผมจึงเข้าใจว่าการอดอาหารไม่น่าจะทำให้คนอย่างผมผอมลงได้ ถ้าหากไม่สามารถอดอาหารได้อย่างตลอดไป
2. ผมนับถือคุณหมอและพยาบาลทุกคนมาก
ตลอดหกเดือนที่อยู่ที่โรงพยาบาล ผมนับได้ว่าวันที่ผมไม่เจอคุณหมอ ไม่เกินสิบวันแน่นอนครับ
รวมไปถึงช่วงวันหยุดยาวของญี่ปุ่น (โกลเด้นวีค) บางวันท่านมาแต่เช้าตั้งแต่หกโมง
บางวันสามสี่ทุ่มผมก็ยังเห็นคุณหมอท่านทำงานอยู่
และที่สำคัญสิบวันที่ผมไม่ได้เจอคุณหมอนั้นผมทราบมาว่า คุณหมอท่านไปตรวจที่โรงพยาบาลอื่นด้วยซ้ำไป
ผมเองเคยถามคุณหมอว่า ”ไม่มีวันหยุดบ้างหรือครับ” คุณหมอท่านตอบกลับมาว่า
“ก็มีคนไข้ที่ต้องดูแลนะสิ”
3. ผมได้รู้จักเพื่อนต่างวัยที่มีอายุห่างจากผมเกือบสี่เท่าตัว
คุณลุงที่ป่วยเป็นโรคเดียวกัน(แต่คนละประเภท) ได้เป็นเพื่อนพูดคุยกันในช่วงเดือนสุดท้าย
ก่อนคุณลุงแกจะถูกย้ายไปห้อง”ฆ่าเชื้อโรคในเวลาต่อมา ทำให้ผมรู้สึกว่าการพูดคุยกับผู้ป่วยโรคเดียวกันนั้นทำให้ผมรู้สึกมีกำลังใจที่ดีขึ้นมาก
และเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ผมตัดสินใจมาเขียนเล่าบันทึกนี้ขึ้นมาครับ
EDIT:
4. หลังจากผมทำเคมีบำบัด จากผมขาวที่เคยมีอยู่เนื่องจากพันธุกรรมตั้งแต่ชั้นประถมได้หายไปจนเกือบหมด รวมไปถึงผิวหน้าใส ไร้สิวมาเกือบๆสองปี เป็นข้อดีที่แปลกเหมือนผมได้รีเซ็ทตัวเองใหม่ประมาณนั้นก็ว่าได้ครับ ตอนที่เส้นผมเริ่มขึ้นมาใหม่ๆ เส้นผมนั้นเหมือนผมเด็กๆนุ่มและหยิก ซึ่งตรงกันข้ามกับแต่ก่อนที่เป็นเส้นใหญ่และแข็ง
EDIT:
4. หลังจากผมทำเคมีบำบัด จากผมขาวที่เคยมีอยู่เนื่องจากพันธุกรรมตั้งแต่ชั้นประถมได้หายไปจนเกือบหมด รวมไปถึงผิวหน้าใส ไร้สิวมาเกือบๆสองปี เป็นข้อดีที่แปลกเหมือนผมได้รีเซ็ทตัวเองใหม่ประมาณนั้นก็ว่าได้ครับ ตอนที่เส้นผมเริ่มขึ้นมาใหม่ๆ เส้นผมนั้นเหมือนผมเด็กๆนุ่มและหยิก ซึ่งตรงกันข้ามกับแต่ก่อนที่เป็นเส้นใหญ่และแข็ง
สุดท้ายนี้ผมได้ค้นพบสิ่งสำคัญอีกอย่างจากอาการป่วยนี้ครับ
นั่นคือผมสนุกกับการเล่าเรื่องมากและดีใจมากที่มีคนคอยอ่านและติชมเรื่องของผม ไม่ว่าจากช่องทางใดก็ตาม
ถ้าหากผมไม่ได้ล้มป่วยผมอาจจะไม่มีเรื่องมาเล่าหรือ ไม่มีคนที่จะอ่านเรื่องของผมด้วยซ้ำไป
ผมหวังว่าจะยังมีคนคอยติดตามอ่านเรื่องต่อๆไปที่ผมจะเล่าในอนาคตนะครับ
ถ้าหากถูกใจเรื่องของผม หรืออยากพูดคุยก็เชิญทักผ่าน Twitter ผมได้ที่ด้านขวามือ หรือที่ @zeal_cc ครับผมจะเร่งมือเขียนบทความออกมาใหม่เรื่อยๆ ถ้าหากไม่ถูกใจหรืออยากติชมใดๆ ก็เชิญคอมเม้นท์ไว้ได้เลยครับ ทุกคอมเม้นท์มันจะเด้งเข้ามาที่เมลล์ผม
ถ้าหากถูกใจเรื่องของผม หรืออยากพูดคุยก็เชิญทักผ่าน Twitter ผมได้ที่ด้านขวามือ หรือที่ @zeal_cc ครับผมจะเร่งมือเขียนบทความออกมาใหม่เรื่อยๆ ถ้าหากไม่ถูกใจหรืออยากติชมใดๆ ก็เชิญคอมเม้นท์ไว้ได้เลยครับ ทุกคอมเม้นท์มันจะเด้งเข้ามาที่เมลล์ผม
.........ขอบคุณมากครับ.........
แถมครับ
ผมขอแนะนำบทความหนึ่งที่เป็นอีกแรงบันดาลใจที่ทำให้ผมมาเล่าถึงเรื่องของตัวเองนี้
ถ้าหากท่านไม่เคยอ่านหรือได้ยินบทความที่มีชื่อว่า “Top Five Regrets of the Dying” บทความนี้เป็นบทความที่ดีมากบทความหนึ่งครับ (ผมได้อ่านหลังจากดู TED Talk ของ Jane McGonigal)โดยบทความเล่าถึงความปรารถนาห้าข้อของผู้ป่วยที่ใกล้ตาย ถ้าหากท่านใดสนใจอ่านเพิ่มเติมเชิญได้ที่ลิงค์ด้านล่างครับ
No comments:
Post a Comment