Sunday, June 23, 2013

Perk Series Part-5: The end of the beginning of a cancer perk.

หนึ่งเดือนผ่านไป

หลังจากผมได้ออกไปเที่ยวกลับครอบครัวเป็นเวลาสองสัปดาห์ ผมก็กลับเข้ามาอีกครั้งพร้อมทั้งการตรวจไขกระดูกที่รอต้อนรับกลับสู่ความจริง แต่เหตุการณ์โดยรวมในช่วงที่สามของการรักษานี้ไม่ต่างกับช่วงที่สองมากนัก ตาของผมเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆจนสามารถอ่านตัวหนังสือได้บ้าง ทำให้ผมกลับมาเริ่มอ่านเอกสาร, บทความต่างที่ผมทำการถ่ายเอกสารเมื่อช่วงที่ได้อยู่ด้านนอกโรงพยาบาลและนั่งทำปริญญานิพนธ์ได้เป็นบางเวลา 

            ในเดือนนี้เองผมเริ่มได้คุยกับผู้ป่วยที่เป็นโรคเดียวกัน (ก่อนหน้านี้ผมไม่เคยเจอหรือได้ยินคนป่วยเป็นโรคเดียวกันกับผมมาก่อน) คุณลุงท่านบอกว่าท่านโดนตรวจพบเนื่องจากการตรวจร่างกายประจำปี ซึ่งไม่ได้มีอาการร้ายแรงเท่ากรณีของผมแต่อย่างใด ตอนได้คุยกับคนที่ป่วยโรคเดียวกันผมก็รู้สึกผ่อนคลายกว่าเดิมยิ่งเยอะ

              ในครั้งนี้ผมวางแผนเตรียมอุปกรณ์มาตั้งแต่ผ้าปิดตา, ที่นวดไหล่ หรือแม้กระทั่งที่อุดหู แม้ว่าจะไม่ค่อยมีประโยชน์มากเท่าไรแต่ก็ยังดีกว่าไม่มี รวมไปถึงขนมผมซื้อเฉพาะขนมที่แยกเป็นห่อพลาสติกเล็กๆที่สามารถจะทานได้ตลอดช่วงที่รักษาตัวอยู่ เมื่อเวลาผ่านไปยี่สิบวันเศษๆเช่นเคย คุณหมอก็อนุญาตให้ผมออกนอกโรงพยาบาลได้พร้อมนัดมาตรวจเพื่อเข้าพักที่โรงพยาบาลอีกรอบเมื่อพร้อม

สุดท้ายแล้ว

            เมื่อเวลาผ่านไปอย่างเร็วเหมือนโกหก ผมก็กลับมายืนอยู่ที่หน้าโรงพยาบาลอีกครั้งเป็นรอบที่สี่แต่ทว่าคราวนี้ ตึกที่เคยเป็นแค่โครงตั้งแต่วันแรกที่ผมเข้าโรงพยาบาลตอนนี้เสร็จสมบูรณ์แล้ว ผมจึงได้เข้าพักที่ตึกใหม่ที่กว้างใหญ่และสะอาดโอ่อ่าไม่แพ้โรงพยาบาลเอกชนระดับกลางๆที่กทม. ด้านล่างมีร้านสะดวกซื้อที่ใหญ่กว่าและเปิดตลอดทุกวัน (ร้านเดิมปิดวันอาทิตย์และเปิดทำการแค่ครึ่งวันเสาร์) พยาบาลในแผนกที่ผมรู้จักก็มีการโยกย้าย โดยมีพยาบาลจากแผนกอื่นรวมไปถึงพยาบาลใหม่ที่พึ่งเข้าบรรจุมาเพิ่มด้วย

            รอบนี้ผมรู้สึกว่าตัวเองพร้อมและแข็งแรงกว่าเพราะว่าเป็นเดือนสุดท้ายที่ผมต้องมาอดทนกับสภาพนี้ อีกทั้งตึกใหม่ของโรงพยาบาลยังสะดวกสบายกว่าตึกเก่าหลายเท่าตัว ไม่ว่าจะเป็นความสะอาด เครื่องอุปกรณ์อำนวยความสะดวก หรือรวมไปถึงห้องน้ำที่มีจำนวนมาก (ปกติจำเป็นต้องให้ห้องน้ำด้านนอกห้องพักซึ่งมีอยู่แค่สองจุดต่อชั้น)

มรสุมลูกแรก

            ในตอนแรกผมคาดว่าการรักษาจะเหมือนเดิมทุกประการ แต่ทว่าสิ่งที่เพิ่มเข้ามาคือการฉีดยาป้องกันโรคเข้าไปที่ไขสันหลัง (เปรียบเสมือนวัคซีนกันโรคมะเร็งในอนาคตไม่ให้เป็นซ้ำ) แน่นอนว่าผมกลัวเจ็บ แต่คุณหมอท่านบอกว่าเจ็บน้อยกว่าการตรวจไขกระดูกและการผ่าสายน้ำเกลือที่หัวไหล่ ผมแอบเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งแต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากนอนรับสภาพต่อไป ขณะฉีดผมต้องห้ามขยับตัวไปไหนมีบุรุษพยาบาลคอยจับตัวผมไว้ เพราะอาจจะเกิดอันตรายกับไขสันหลังซึ่งเป็นระบบประสาทของร่างกายได้ เมื่อฉีดยาชาเข้าไปแล้วไม่รู้สึกเจ็บแต่รู้สึกเย็นๆหลังแทนครับเพราะว่ามียาเข้ามา

            เมื่อเสร็จการฉีดยาดังกล่าว คุณหมอก็เตือนว่าพยายามนอนอยู่เฉยๆนะ เพราะว่าน้ำในสมองลดปริมาณลงจะทำให้รู้สึกเวียนหัวได้ง่าย (ไขสันหลังกับสมองจะเชื่อมต่อกัน) คุณหมอท่านบอกต่อไปว่าไม่เกินสองวันน่าจะกลับเป็นปกติ แต่ทว่าเคสของผมมันไม่เคยมีอะไรปกติอยู่แล้ว ในวันเดียวกันผมไม่ได้มีอาการปวดหัวแม้แต่น้อย

พอวันรุ่งขึ้นเท่านั้นเอง ไม่สามารถแม้แต่จะลุกขึ้นนั่งได้เกิน 20 วินาที ลุกขึ้นเดินหรือยืนไม่ต้องพูดถึง อาการปวดจี๊ดขึ้นหัวราวกับมีคนมาทุบอยู่ตลอดเวลาก็เกิดขึ้น ผมต้องนอนลงอยู่เฉยๆ ไม่สามารถทำอะไรอย่างอื่นได้ ทีนี้แหละครับเริ่มมีปัญหาเพราะว่าผมจะลุกขึ้นมานั่งเพื่อทานข้าวก็ไม่ได้ จะลุกออกไปเข้าห้องน้ำหรือจะล้างหน้าแปรงฟัน ต้องพยายามอดกลั้นและวิ่งไปให้เร็วที่สุด ผมต้องวิ่งออกไปแปรงฟันหนึ่งรอบแล้วกลับมานอนพักก่อน ค่อยวิ่งออกไปล้างหน้าอีกครั้ง เพราะอาการปวดหัวรุนแรงมากและยาแก้ปวดศรีษะไม่สามารถช่วยอะไรได้เลยครับ ที่ดูจะได้ผลมากที่สุดคือเอาหมอนน้ำแข็งประคบให้อาการบรรเทาลง

            ผ่านไปสามวันอาการยังไม่ดีขึ้น เนื่องจากผมไม่สามารถแม้จะลุกขึ้นนั่งได้พร้อมกับเคมีบำบัดเริ่มต้นขึ้น ผมจึงต้องของดอาหารทันที อีกทั้งในเวลาต่อมาผมมีอาการปวดหลังและไหล่แบบเดียวกับตอนเดือนแรกเนื่องจากนอนเยอะเกินไปอีกครั้ง

            ผ่านไปห้าวันอาการก็ยังไม่ดีขึ้น อีกทั้งสิ้นเดือนนั้นผมจะเป็นต้องส่งวิทยานิพนธ์ของตัวเองเพื่อให้เพียงพอต่อการจบการศึกษาในปีเดียวกันนั้นให้ได้ (ในขณะอยู่ในขั้นตอนทบทวนและแก้ไขเท่านั้นครับ) ผมไม่มีทางเลือกจึงฝืนตัวเองโดยการนอนพิมพ์ครับ (แบบเดียวกับที่หลายๆคนชอบนอนเล่นคอมบนเตียง แต่ผมเป็นนอนอ่าน และทำวิทยานิพนธ์ที่เหลืออยู่ด้วยสภาพแบบนั้นครับ) พยาบาลมาเห็นก็ตกใจไปตามๆกัน เมื่อมานึกถึงตอนนี้ยังแอบตลกตัวเองว่าผมเองก็ค่อนข้างฝืนตัวเองเหมือนกันใช่ย่อย แต่ทำไงได้อะครับถ้าผมไม่ฝืนผมก็เรียนไม่จบนะครับ

ยังไม่หมด

            เมื่อผ่านมาครึ่งเดือน ผมก็แอบนึกว่าจะไม่มีอะไรแย่ไปกว่านี้แล้วและคงอยู่อีกไม่กี่วันก็คงได้ออกแล้ว (เดือนที่สองกับเดือนที่สามอยู่แค่ประมาณยี่สิบวันเศษๆเท่านั้น) ที่ผมเกริ่นมาแบบนี้ ผมมีอาการใหม่เข้ามาคือท้องเสียครับ ถ่ายเหลวเหมือนท้องเสียทั่วไปอยู่ต่อเนื่องประมาณวันละ 3-5 รอบในวันแรกๆที่เริ่มออกอาการ ไม่มีเลือดเหมือนตอนล้มป่วยก็จริงแต่มันทำให้ผมไม่มีแรง ผมได้บอกพยาบาลและคุณหมอไปแล้ว แต่ไม่ทันการครับ

ช่วงหัวค่ำเวลาประมาณสองทุ่มคืนหนึ่งผมรู้สึกท้องเสียอีกครั้งจึงตรงไปห้องน้ำ แต่อาการปวดหัวข้างต้นยังไม่หายดี ผมนั่งอดทนกับอาการปวดหัวบนชักโครก และผมหมดสติล้มลงในห้องน้ำตอนลุกขึ้นหลังจากถ่ายเสร็จ เป็นอีกครั้งที่ผมจำอะไรไม่ได้เลย ผมรู้สึกตัวอีกครั้งตอนที่ตัวเองนอนอยู่กับพื้นห้องน้ำ เจ็บแปลบๆที่บริเวณหน้าผาก แว่นตาหล่นอยู่ข้างๆ ร่างกายชุ่มไปด้วยเหงื่อและมีเสียงตะโกนของพยาบาลพร้อมเสียงเคาะประตูอย่างต่อเนื่องถามว่า “คุณชัยๆ เป็นอะไรมั้ย” (ที่ญี่ปุ่นจะเรียกชื่อคนด้วยชื่อสกุล แต่ด้วยชื่อสกุลผมยาวจึงเรียกว่าคุณชัยแทน)  พอผมรู้สึกตัว ผมรวบรวมสติหยิบแว่นข้างๆ พร้อมเดินไปปลดล็อกประตูห้องน้ำและเอามือพยุงตัวเองไว้กับกำแพง

พยาบาลตกใจมากพร้อมพยุงผมกลับไปที่เตียง และยื่นเอาน้ำแข็งมาให้ประคบแผลที่หัวที่ปูดออกมาจากการล้มกระแทกหัวฟาดพื้น ห้ามไม่ให้ผมลุกเดินไปไหนคนเดียว ในตอนหลังผมทราบว่าคุณลุงเพื่อนร่วมห้องต้องการจะออกไปเข้าห้องน้ำ แต่ได้ยินเสียงล้มดังโครมในห้องน้ำจึงกดเรียกพยาบาลอย่างเร่งด่วน (ผมรอดมาได้ก็ต้องขอบคุณคุณลุงคนนั้นมากครับ) เมื่อเห็นว่าผมมีอาการท้องเสีย คุณหมอจึงสั่งจ่ายยาแก้ท้องเสียให้ทาน

ท้องไม่เสียแล้วแต่ไหงกลายเป็นท้องผูก

            ผมทานยาแก้ท้องเสียไปได้สองวัน การถ่ายอุจจาระลดลงก็จริง แต่กลายเป็นว่าผมถ่ายไม่ออกครับ อาการมันกลายเป็นท้องผูกแทน ซึ่งไม่ใช่ท้องผูกธรรมดาเพราะว่าผมปัสสาวะธรรมดายังแทบไม่ได้ด้วย บางครั้งถึงกลับต้องยืนอยู่หน้าชักโครกถึง 20 นาทีเพื่อปัสสาวะที่ปวดจัดๆหนึ่งครั้ง และเดินเข้าออกห้องน้ำหลายๆครั้งเนื่องจากไม่สามารถถ่ายอุจจาระได้ คุณหมอจ่ายยาถ่ายให้แล้วสองถึงสามครั้ง แต่ยาที่ว่าไม่ได้ผลแต่อย่างใดจึงต้องเปลี่ยนเป็นยาที่ทำให้อุจจาระอ่อนตัวแทนเพื่ออาจจะทำให้ถ่ายได้บ้าง (รวมไปถึงป้องกันการเกิดแผลที่บริเวณทวารเนื่องจากเกล็ดเลือดมีปริมาณที่ต่ำเหมือนก่อนหน้า)

            ผมเริ่มถ่ายได้บ้างแต่น้อยมากๆต่อวัน ทำให้เหมือนทุกอย่างสะสมอยู่ในร่างกายผมปวดบริเวณช่วงล่างของร่างกายมาก แต่ว่าทำอะไรไม่ได้นอกจากนอนนับวันอดทนต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งผมมีอาการคันอย่างมากที่บริเวณทวารหนัก คุณหมอบอกว่าเคมีบำบัดทำให้ร่างกายอ่อนแอ และเป็นนี่อีกอาการที่ไม่เคยเจอมาก่อน จึงทำได้แค่ออกยาทาให้ผมเท่านั้น ถ้าหากเป็นหนักหรือนานกว่านี้จะเรียกคุณหมอที่เชี่ยวชาญด้านนี้มาตรวจให้

มรสุมทิ้งทวน

            รอบนี้เป็นเหมือนการทิ้งทวนจริงๆครับ เพราะว่าการทำเคมีบำบัดในครั้งนี้คาดว่าเป็นครั้งที่รุนแรงที่สุด ทำให้ร่างกายผมไม่ยอมฟื้นฟูปริมาณเม็ดเลือดต่างๆซะที อาการที่ผมไม่อยากให้มันกลับมาคือไข้ขึ้นครับ ไข้ขึ้นทั้งๆที่อาการปวดหัวก่อนหน้านี้ยังไม่หายไป ทีนี้แหละครับหัวแทบจะระเบิดตลอดเวลา ลุกขึ้นนั่งก็ไม่ได้ต้องนอนพลิกไปมาอย่างเดียว ลองจินตนการอาการข้างต้นทุกอย่างรวมกันดูนะครับ ทานข้าวก็ไม่ได้ ถ่ายก็ไม่ได้ หัวยังจะปวดแล้วมีไข้อีก

            ช่วงนี้ผมทำได้อย่างเดียวคือนอนพยายามไม่ให้ตัวเองตื่นครับ ตื่นแล้วก็ขอหลับต่อเพื่อไม่ให้รู้สึกอาการต่างๆ คุณหมอก็ได้แต่บอกว่าเร็วๆนี้จะดีขึ้นแต่ไม่สามารถบอกกำหนดได้ บอกได้แค่ว่า  ”เคมีบำบัดครั้งนี้รุนแรงกว่าครั้งอื่นเยอะ ต้องอดทนหน่อยนะ”

ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง
            สี่สิบวันเศษผ่านไปตั้งแต่เข้ารับการรักษาในรอบสุดท้ายนี้ (กินเวลาสองเท่าของเดือนที่สอง) ผ่านมรสุมหลายสิบลูก วันที่ผมรอคอยมาตลอดครึ่งปี ใช่แล้วครับคุณหมอเดินเข้าห้องมาแล้วบอกว่า “กลับบ้านกันเถอะ”

            ไชโย!!! แม้ว่าผมคาดเดาคำพูดของคุณหมอได้จากผลการตรวจเลือดที่ผมคอยดูอยู่ทุกๆครั้ง แต่ผมรู้สึกดีใจมากจนตัวสั่น ผมได้กลับมาหายจากทุกๆอย่างเป็นปกติและได้ออกจากโรงพยาบาลเมื่อวันที่ 12 ก.ค. คุณหมอนัดให้มาตรวจอีกรอบในอีกสองสัปดาห์หน้าและบอกทิ้งไว้ว่ายังเหลือการตรวจไขกระดูกอีกครั้งหนึ่งเมื่อร่างกายกลับมาเป็นปกติแล้วค่อยตรวจ แต่วันนั้นผมไม่ได้สนใจอะไรแล้วครับ คิดแค่ว่าไม่ต้องกลับมานอนในโรงพยาบาลอีกครั้งก็ดีใจสุดๆแล้ว

            เมื่อตรวจอีกเลือดสองครั้งก็ทราบว่าผมต้องทานยาที่เคยทานอยู่สองสัปดาห์ในรอบทุกๆสามเดือนเป็นเวลาสองปี พร้อมทั้งตรวจเลือดระวังไว้ คุณหมอบอกไว้ว่าแม้ว่าโอกาสจะป่วยซ้ำประมาณ 15 เปอร์เซ็นต์แต่คุณหมอท่านก็ทำให้ผมโล่งใจโดยการยืนยันว่าตั้งแต่เป็นหมอมายังไม่เคยเจอคนไข้ที่มีอาการเป็นซ้ำมาก่อน (เฉพาะในประเภทของผมเท่านั้น)

            ถึงตอนนี้ไม่รู้จะบรรยายความรู้สึกยังไงต่อไปละครับ ขอขอบคุณทุกคนที่คอยช่วยเหลือและให้กำลังใจผมมาตลอด และทุกคนที่อ่านถึงตอนจบนะครับ

.....The End of The Beginning




            

Thursday, June 20, 2013

Perk Series Part-4 : Another step to remove a cancer perk

ที่เดิมที่ไม่เหมือนเดิม


หลังเดินทางมาถึงโรงพยาบาลในตอนเช้าตามกำหนดการพร้อมสัมภาระที่จัดมาด้วยตัวเองราวกับมาเที่ยวค้างคืน รวมไปถึงหมอน (ของที่โรงพยาบาลเล็กและไม่ได้ยัดด้วยนุ่นทำให้หลับไม่สบาย) เมื่อทำเรื่องเรียบร้อยก็ขึ้นชั่งน้ำหนักก็ต้องพบกับความตกใจเล็กน้อยเพราะเพียงแค่สี่วันนอกโรงพยาบาลทำเอาน้ำหนักตัวของผมเพิ่มขึ้นถึงสี่กิโลกรัม พยาบาลที่เดินผ่านไปมาก็ทักว่าอ้วนขึ้นรึเปล่า ทำเอาเพื่อนผมที่มาด้วยหัวเราะเยาะไม่หยุด

เมื่อนั่งรอซักพักคุณพยาบาลก็เดินมายกสัมภาระไปหนึ่งชิ้นและพูดว่า “ทางนี้คะ”

“ไม่ใช่ห้องนี้เหรอครับ” ผมถามขึ้น พร้อมชี้ไปทางขวามือเพราะนึกว่าจะได้เข้าพักห้องเดิมที่มีอุปกรณ์ฟอกอากาศอยู่ในห้อง

“ไม่ใช่ค่ะ เชิญทางนี้ค่ะ” พยาบาลแย้งพร้อมกับเดินนำไปในทางตรงกันข้าม

ผมเดินลากกระเป๋าเดินทางใบเล็กตามด้วยความสงสัยไปในทางเดียวกัน

หลังออกเดินซักพักก็มาถึงห้องพักรวมซึ่งใหญ่กว่าเดิมมาก ด้านหน้ามีป้ายชื่อห้าชื่อจากหกชื่อติดอยู่ที่หน้าห้อง พยาบาลคนเดิมเดินนำผมตรงเข้าไปที่กลางห้องพร้อมผายมือว่า “เตียงนี้ค่ะ อีกซักพักจะมีพยาบาลมาเจาะเลือดไปตรวจพร้อมทำเรื่องเอกสารต่างๆนะค่ะ รบกวนเปลี่ยนชุดรอด้วยค่ะ” หลังจากพูดเสร็จนางพยาบาลก็รูดผ้าม่านปิดพร้อมเดินจากไป

ต้องชี้แจงว่าผมเป็นคนตื่นง่ายหลับยาก ไม่สามารถนอนหลับได้แม้กระทั่งโทรศัพท์ที่เปิดสั่นวางอยู่บนพื้นอีกห้องติดกันยังสามารถปลุกผมตื่นได้ไม่ยาก ในตอนนั้นผมรู้สึกกังวลพอสมควรในเรื่องนี้
หลังจากนั่งคุยกับเพื่อนของผมไปได้ซักพักก็ต้องบอกลากัน เนื่องจากเพื่อนผมเรียนจบแล้ว (ก่อนหน้าผมหนึ่งเทอม) กำลังจะรอรับปริญญาที่กำลังจะมีขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้าและหลังจากนั้นก็ต้องกลับประเทศไทย “สู้ๆนะเพื่อน รีบๆหายแล้วไว้เจอกันที่ไทย” เพื่อนของผมได้พูดส่งท้ายพร้อมเดินจากไปอีกเช่นกัน

ผมเปลี่ยนเป็นชุดนอนที่นำมาพร้อมจัดสัมภาระต่างๆเข้าตู้ที่อยู่ข้างเตียง (ต่างจากที่ไทยตรงที่ทางโรงพยาบาลไม่มีชุดผู้ป่วยให้ครับ) จากนั้นไม่นานพยาบาลก็มาเจาะเลือดแต่เนื่องจากต้องการเก็บข้อมูลให้มากที่สุดจึงต้องเจาะไปถึงหกหลอด ซึ่งถือว่าเยอะมากเพราะปกติจะเจาะแค่ 1-2 หลอดต่อวัน หลังจากนั้นก็ถูกถามข้อมูลต่างๆเพื่อกรอกเอกสารให้ เนื่องจากผมยังมีอาการเลือดคั่งในดวงตาที่ได้เล่าไปก่อนหน้านี้ จึงไม่สามารถจะอ่านเขียนตัวอักษรใดๆได้

เดินทางสำรวจ

            ถึงตอนนี้ผมหิวน้ำ ช่วงก่อนหน้านี้เนื่องจากผมไม่สามารถลุกเดินได้อย่างเป็นอิสระ พยาบาลเป็นคนรับฝาก ซื้อน้ำให้ตลอดเวลา แต่คราวนี้ผมสามารถเดินได้อย่างเป็นปกติก็ต้องไปซื้อด้วยตัวเอง เมื่อออกจากห้องไปนั้น ผมหลงทางอยู่ซักพักใหญ่ๆเลยทีเดียวครับ (ทั้งขาไปและขากลับมาที่ห้อง) ผมไม่รู้จักแม้กระทั่งทางเดินในโรงพยาบาลที่ตัวเองอยู่มาเกินกว่าหนึ่งเดือน เพราะว่าก่อนหน้านี้ผมไม่เคยได้ก้าวออกจากห้องที่พักรักษาตัวมาก่อนเลยครับ (ก่อนหน้านี้ตอนไปห้องตรวจต่างๆผมนั่งรถเข็นและมีพยาบาลคอยเข็นให้ตลอด)

            เมื่อผมกลับที่เตียงก็พบว่าคุณหมอพร้อมกับพยาบาลกำลังตามหาผมอยู่ เพราะว่าถึงเวลาที่จะต้องสอดสายน้ำเกลือแล้วครับ ครั้งนี้ต่างจากเดิมเนื่องจากไม่มีอาการเกล็ดเลือดต่ำในขณะนั้นแล้วจึงเปลี่ยนบริเวณต้นขามาเป็นที่หัวไหล่แทนโดยคุณหมอให้เหตุผลว่าเวลาลุกนั่งจะได้สะดวกกว่า
แม้ว่าเป็นครั้งที่สองแล้วแต่ก็ยังไม่ทำให้ผมหายอาการหวาดผวาเท่าไร

“ต้องฉีดยาชามั้ย” คุณหมอถามแถมหยอกล้อก่อนจะนำผ้ามาปิดที่ใบหน้าผม

“ไม่เอาได้ยังไงละครับ....... ” ผมรีบตอบกลับทันที

“อ่าว นึกว่าไม่ต้อง อยากรับรู้รสชาติชีวิต” คุณหมอยังแซวต่อไป

ขั้นตอนต่างๆก็จบที่การเย็บปิดปากแผล คุณหมอกดผ้ากอซไว้ที่บริเวณหัวไหล่ พร้อมยกผ้าที่ปิดอยู่บนใบหน้าของผมขึ้น และพูดประโยคเหมือนเดิมว่า “เอามือกดไว้ซักพักนะครับ” และแล้วผมก็กลับมามีสายน้ำเกลือติดตัวอีกครั้ง (รูปด้านล่างเป็นเครื่องควบคุมอัตราไหล ที่ถูกถ่ายไว้จากตอนเข้ารับการรักษาครั้งแรก)


ในช่วงแรกๆผมยังไม่ค่อยชินเท่าไรไม่สามารถพิมพ์หรือยกของด้วยแขนขวาได้เพราะมีอาการเจ็บที่บริเวณแขนไปถึงหัวไหล่พอสมควร แต่ผมเห็นด้วยที่ว่าสายน้ำเกลือที่ไหล่สะดวกกว่าบริเวณต้นขาเยอะครับ (เนื่องจากที่ต้นขาจะเป็นบริเวณข้อพับเมื่อลุกขึ้นนั่งอาจจะทำให้น้ำเกลือไหลไม่สะดวก และเครื่องที่คอยควบคุมอัตราการไหลจะมีเสียงสัญญาณดังเมื่อน้ำเกลือไม่สามารถไหลได้ปกติครับ)

ชีวิตในห้องรวม

อย่างที่ได้กล่าวไปข้างต้น เมื่อใช้ชีวิตในห้องรวมหลายๆอย่างก็ลำบากมากขึ้นโดยเฉพาะเวลาเข้านอนอย่างที่คาดไว้ ซึ่งหลายท่านอาจจะคาดเดาได้ว่าเพื่อนร่วมห้องของผมอีกห้าท่านเป็นคุณลุงซึ่งแน่นอนว่าอาการนอนกรนเป็นสิ่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เมื่อถึงตอนเช้าเนื่องจากเป็นห้องรวมก็ต้องเปิดไฟและในบางเวลาโดยเฉพาะวันหยุดครอบครัวของเพื่อนร่วมห้องก็มาเยี่ยม (บางเตียงมีเด็กมาด้วย) แต่ผมก็เข้าใจครับเพราะเมื่อเพื่อนผมมาเยี่ยมผมก็เสียงดังเช่นกัน เมื่อนานวันเข้าก็เริ่มที่จะชินและหลับไปเมื่อถึงเวลา

จริงๆแล้ว ห้องรวมก็มีข้อดีหลายๆอย่างเช่น การได้พูดคุยกับเพื่อนร่วมห้องทำให้ไม่เหงา แต่สำหรับกรณีของผมซึ่งต้องอยู่ในบริเวณม่านของตัวเองเนื่องจากสาเหตุที่ได้กล่าวไปกรณีปริมาณเม็ดเลือดขาวต่ำจะทำให้มีโอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อมากขึ้นหากออกนอกบริเวณเครื่องฆ่าเชื้อโรค แต่ที่แย่ไปกว่านิสัยหรือเสียงดังนั้นคือความกลัวครับ กลัวว่าเมื่อผมมีอายุมากขึ้นในอนาคต ผมอาจจะป่วยจนต้องมาเข้าพักรักษาที่โรงพยาบาลอีกครั้ง

ความอยากที่หายไป
            ผมเคยได้เล่าไปในตอนก่อนหน้านี้ว่า ช่วงแรกของการรักษาผมถูกระงับไม่ให้รับประทานอาหารแต่ครั้งนี้เมื่อเริ่มทำเคมีบำบัดคุณหมอบอกว่าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องงดอาหารแล้ว ผมสามารถทานได้อย่างปกติ นอกจากจะมีอาการในรูปแบบเดิมเกิดขึ้น ผมก็นึกในใจว่า “รอบนี้คงไม่ลำบากมากหรอกมั้ง” เพราะมีอาหารให้ทานชีวิตคงมีความสุขกว่ารอบที่แล้วเยอะ  
    
แต่ทว่าผลข้างเคียงอีกอย่างหนึ่งของการทำเคมีบำบัดที่ผมไม่ได้รับรู้ในช่วงก่อนหน้านี้ก็คือ อาการไม่อยากอาหาร ผมไม่เคยเข้าใจอาการนี้มาก่อนจนได้เจอกับตัวเองครับ จนถึงวันนั้นผมนึกว่าอาการนี้สาเหตุมาจากอาการป่วยทางจิตจำพวกซึมเศร้าเท่านั้น (ผมเคยสงสัยเนื่องจากทุกๆวันพยาบาลผู้รับผิดชอบเวลาวัดไข้ วัดความดันหรือวัดระดับออกซิเจนในเลือดว่าทำไมต้องถามคำถามว่า “กินข้าวได้ปกติรึเปล่า หรือ มีความอยากอาหารหรือเปล่า”) อาการที่ว่าจะรู้สึกอยากจะอาเจียนเมื่อได้กลิ่น, นึกถึงอาหารหรือแม้แต่ได้ยินเสียงเพื่อนร่วมห้องทาน (ผมอาเจียนไปหลายต่อหลายครั้งแม้ว่าจะได้รับยาระงับอาการอาเจียน) ผมอยู่ในสภาพนี้เป็นระยะเวลาหนึ่งสัปดาห์

เมื่อเวลาผ่านไปผมเริ่มกลับมาทานอาหารเบาๆ จำพวกขนม และแซนวิชได้อีกครั้ง (เพื่อนผมลงทุนเดินไปซื้อมาให้จากร้านสะดวกซื้อแล้วกลับมาใหม่ หลังจากแวะมาเยี่ยม และทราบว่าผมยังทานข้าวปกติไม่ได้)

ยกเลิกทริป
ในช่วงระยะเวลาเดียวกันระหว่างที่ผมไม่ได้ทานอาหารนั้น ผมต้องทราบข่าวร้ายเพิ่มอีกอย่างหนึ่ง เนื่องด้วยเหตุการณ์สึนามิและแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นในช่วงนั้น แม้ว่าผมจะไม่ได้รับผลกระทบโดยตรง แต่โดยทางอ้อมแล้วเพื่อนๆของผมหลายต่อหลายคนต้องกลับประเทศเพราะว่าทางครอบครัวที่อยู่ที่ประเทศไทยเป็นห่วง และที่แย่ไปกว่านั้นคือทัวร์ตอนช่วงสงกรานต์ที่ทางบ้านจองไว้ล่วงหน้าก็ต้องถูกยกเลิกไปเช่นกัน (ที่ผมตัดสินใจให้จองทัวร์เพราะว่าผมร่างกายไม่แข็งแรง นั่งรถทัวร์เที่ยวน่าจะสะดวกกว่าเดินทางเที่ยวเองด้วยรถไฟครับ)

ช่วงนั้นคุณหมอท่านบอกผมว่า ”ผมดูมืดมนมาก” (ภาษาญี่ปุ่นแปลเป็นภาษาไทยของคำว่า ”มืด” มีความหมายในแนวไม่ร่าเริงสดใสหรือเศร้าซึม)

คุณหมอยังแซวผมว่า “ถ้าไม่ทำจิตใจให้แข็งแรงอาจจะไม่ได้ออกไปเที่ยวนะ”

ผมยังจำได้ว่าผมกล่าวตัดพ้อไปว่า “ไม่ออกไปเที่ยวก็ไม่ต่างแล้วครับ ยังไงทริปก็ยกเลิกแล้วละครับ”

แม้ว่าทริปจะถูกยกเลิกไป แต่ผมก็เริ่มกลับมาสดใสเหมือนเดิมเพราะว่าครอบครัวของผมเปลี่ยนแผนโดยจะมาเที่ยวในบริเวณคิวชูแทนทริปก่อนหน้านี้ ทำให้ผมเริ่มนับถอยหลังรออย่างต่อเนื่อง

กิจวัตรประจำวันที่ต่างออกไป
            อีกสิ่งหนึ่งที่ต่างออกไปคืออาหารที่ผมสามารถทานได้ต้องผ่านความร้อนเพื่อกำจัดเชื้อโรคในช่วงเวลาที่ผมมีเม็ดเลือดขาวต่ำ ซึ่งในช่วงนี้ผมไม่สามารถทานอาหารจำพวกผักสด, ผลไม้หรือแม้กระทั่งขนมปังและนมสดได้ หากจะทานขนมก็จำเป็นต้องเป็นขนมประเภทห่อเล็กๆ ที่ต้องห่อพลาสติกมิดชิดก่อนแกะรับประทานครับ

และในครั้งนี้ต่างจากก่อนหน้านี้พอสมควร เพราะว่าผมสามารถเดินออกไปไหนมาไหนได้ (จำเป็นต้องใส่ผ้าปิดปากตลอดเวลา บ้วนปากวันละ 3-4 ครั้งรวมถึงล้างมือและทานยาอย่างเคร่งครัด) ครั้งนี้เริ่มมีสิ่งให้ผมทำมากขึ้นนอกเหนือจากนั่งเหม่อไปวันๆ ตั้งแต่เดินไปซักผ้าด้วยตัวเองในบางเวลา หรือเดินออกไปร้านขายของในบางวันเพื่อซื้อขนมหรือน้ำที่อยากดื่ม เรื่องเล็กๆน้อยๆแค่นี้ แต่มันทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองแข็งแรงขึ้นและยังมีชีวิตอยู่จริงๆในช่วงนั้น นอกเหนือจากที่กล่าวไปผมใช้เวลาที่เหลือส่วนใหญ่ดูละครหรืออนิเมชั่น แม้ว่าตายังพร่าอยู่แต่ยังอยู่ในระดับที่ผมสามารถสนุกไปกับมันได้ครับ

ยี่สิบวันผ่านไปนับจากวันแรกที่เข้ามารับการรักษาในรอบนี้หลังจากย้ายห้องไปสองครั้ง ไปห้องรวมสี่เตียงและห้องสองเตียงในเวลาต่อมา ซึ่งผมขอบอกว่าห้องสองเตียงลำบากสุดครับเนื่องจากระยะห่างระหว่างเตียงใกล้กันมาก เสียงจากเตียงข้างๆทำเอาผมนอนไม่หลับไปหลายต่อหลายคืน

ในครั้งนี้ผมไม่มีอาการไข้ขึ้น รวมไปถึงปริมาณเลือดคั่วในดวงตาก็เริ่มลดลงเรื่อยๆ ผมเริ่มแยกแยะใบหน้าและอ่านตัวหนังสือได้มากขึ้น ในช่วงที่ไม่นานนักคุณหมอก็อนุญาตให้ผมกลับบ้านได้พร้อมนัดให้มาตรวจภายหลัง พร้อมกำชับให้ผมทานยาอย่างเคร่งครัด

และแล้วผมก็ได้ออกมาสูดอากาศภายนอกอีกครั้ง โดยครั้งนี้ผมมีดอกซากุระบานราวกับจะร่วมแสดงความยินดีให้ผมด้วยครับ

To be continued…..

Sunday, June 16, 2013

Perk Series Part-3: Moving on even with a cancer perk.

“ทำไมถึงไม่กลับมารักษาที่ไทยละ?

“ทำไมถึงไม่กลับมารักษาที่ไทยละ?” เป็นคำถามที่ผมโดนถามอยู่ตลอดเวลา ก่อนจะเล่าต่อผมจึงขอตอบไว้ตรงนี้เลยนะครับ โดยเหตุผลหลักๆมีดังนี้ครับ

1.      เหตุผลทางการเงิน – แน่นอนว่าเป็นปัจจัยหลักข้อหนึ่งในการตัดสินใจ เพราะว่าการรักษาในเคสแบบผมต้องใช้เงินและเวลาจำนวนไม่น้อย ถึงตอนนี้หลายคนอาจจะสงสัยว่ารักษาตัวที่ญี่ปุ่นจะถูกกว่า การกลับมารักษาตัวที่ไทยได้อย่างไร ผมเองก็คิดแบบเดียวกันในตอนแรก

ในเคสของประเทศญี่ปุ่นนี้นะครับ นักเรียนต่างชาติทุกคนต้องสมัครประกันสุขภาพของประเทศญี่ปุ่น เมื่อไปรับการรักษาจะได้รับส่วนลดเหลือเพียง 30 เปอร์เซ็นต์ของราคาเต็ม แต่เพียงคืนแรกตามเหตุการณ์ที่ผมได้เล่าไปนั้นค่ารักษาหักส่วนลดแล้วอยู่ที่ 80000 เยน (ประมาณ 30000 บาท) โรงพยาบาลแห่งที่สองแม้ว่าแค่จะไปตรวจรักษาค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 35000 เยน (ประมาณ 10000 บาท) และถ้าผมอยู่โรงพยาบาลที่ญี่ปุ่นค่ารักษาจะตกประมาณ 2 ล้านเยนต่อเดือนครับ (ประมาณ 7-8 แสนบาท) พอได้ยินตัวเลขนี้ รู้สึกตัวเองแข็งแรงพอจะหนีออกจากโรงพยาบาลได้ไปชั่วขณะเลยครับ ถึงตอนนี้เพื่อนผมยังเก็บเอามาแซวผมอยู่เลยว่า ผมห่วงเงินมากกว่าห่วงชีวิตตัวเองอีกนะเนี่ย

แต่จริงๆแล้วมันมีทางออกให้ผมคือประเทศญี่ปุ่นช่วยเหลือคนที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลครับ (จากภาษีของคนญี่ปุ่นนี่แหละครับ) ระบบที่ว่านี้ผู้ป่วยจะจ่ายค่ารักษาอย่างมากแค่ 35000 เยนต่อเดือนไม่รวมค่าอาหาร (อาหารโรงพยาบาลที่ผมพักราคามื้อละ 150 เยนเทียบได้กับราคาน้ำเปล่าหนึ่งขวดเศษๆเท่านั้นครับ) เมื่อรวมค่าอาหารแล้วผมจ่ายโดยเฉลี่ย 45000 เยนต่อเดือนเท่านั้นครับ

เท่าที่ผมทราบมานั้นการกลับไปรักษาที่ไทยนั้นค่ารักษาน่าจะอยู่ที่ขั้นต่ำ หนึ่งแสนบาทต่อเดือน (ไม่นับกรณีไปโรงพยาบาลเอกชนซึ่งอาจจะพุ่งไปที่เจ็ดหลักต่อเดือนได้) เทียบกับค่ารักษาทั้งหมดหกเดือนแล้วเบ็ดเสร็จทั้งหมดประมาณ 100000 บาทอีกทั้งภายหลังแล้วได้ค่าชดเชยจากประกันสุขภาพที่ได้ทำไว้ที่ไทย (จ่ายเฉพาะค่าห้องคืนละ 700 บาท แต่คำนวณรวมเกือบๆ หกเดือนก็ครอบคลุมค่าใช้จ่ายทั้งหมดได้พอดี)

2.      โรงพยาบาล เนื่องจากมะเร็งเม็ดเลือดขาวนั้นไม่ใช่โรคที่จะพบเจอกันได้ง่ายๆในคนทั่วๆไป โรงพยาบาลที่รับรักษาโรคนี้มีค่อนข้างน้อย ในกรณีผมซึ่งอยู่ในจังหวัดโออิตะซึ่งในแถบคิวชูมีเพียงแค่ห้าแห่งเท่านั้น (คิวชูเป็นชื่อภูมิภาคของประเทศญี่ปุ่น) และแน่นอนว่าผมได้สอบถามเพื่อนที่เรียนหมอหรือ ให้ครอบครัวลองติดต่อผ่านทางคนรู้จักพอสมควรแล้วพบว่าประเทศไทยเองก็มีโรงพยาบาลที่รับรักษาไม่ได้มากมาย หากไม่นับโรงเรียนแพทย์อย่างจุฬาฯ, ศิริราช หรือ รามาฯ แล้วถือว่าน้อยมากๆเช่นกันประกอบกับมาตรฐานโรงพยาบาลของที่ญี่ปุ่นนี้เองแม้ว่าจะเป็นบ้านนอกแต่คุณภาพการรักษาอาจจะดีกว่าที่ประเทศไทยอีกทั้งหมอที่รับผิดชอบผมอยู่นั้นก็มีประสบการณ์สูงในโรคนี้อีกด้วย

3.      ข้อจำกัดในการเข้าเยี่ยม เนื่องด้วยอาการที่ทำให้เม็ดเลือดขาวต่ำจึงควรพักดูแลในห้องปลอดเชื้อ, ต้องทานอาหารที่ผ่านความร้อนมาและอื่นๆ ทำให้การเข้าเยี่ยมแทบจะเป็นไปได้ยากในช่วงเวลาส่วนมากของการเข้าโรงพยาบาล ซึ่งเท่ากับว่าข้อดีของการรักษาที่ประเทศไทยที่จะมีครอบครัวหรือเพื่อนๆมาเยี่ยมเยียนตอนกลับไทยนั้นอาจจะไม่มีผลเลยทีเดียว (หากเพื่อนๆพี่ๆน้องๆคนไหนที่เคยถามผมว่าจะมาเยี่ยมแต่ผมบอกไปว่าอาจจะไม่ได้เข้ามาเจอหรือห้ามไม่ให้มา ก็เป็นเหตุผลนี้แหละครับ แต่ก็ขอขอบคุณอีกครั้งนะครับ)

เนื่องจากว่าผมร่างกายอ่อนแอมากในเดือนแรกของการเข้าโรงพยาบาล ผมจึงต้องรับการรักษาที่นั่นอย่างไม่มีทางเลือกหลังจากผมชั่งใจดูเหตุผลหลักทั้งหมดดูแล้ว ทุกอย่างก็สมเหตุสมผล ผมจึงตัดสินใจที่จะรับการรักษาต่อโดยไม่กลับประเทศไทย แน่นอนว่ายังมีเหตุผลอื่นๆอีกเช่น ภาระด้านการเรียนที่จำเป็นต้องเขียนวิทยานิพนธ์ให้เสร็จจำเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาในบางช่วงเวลาหรือ ต้องไปเข้าคลาสบางวิชาเพื่อให้ได้จำนวนชั่วโมงเรียนที่เพียงพอ

ตาที่มองไม่เห็น

            หลังจากผมได้เกิดอาการตาพร่าที่ไม่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนไปก็ได้รับการตรวจจากจักษุแพทย์ อาการเกิดขึ้นมาจากเกล็ดเลือดต่ำอีกเช่นเคย ทำให้เลือดออกในตาดำและขัดขวางการมองเห็น วิธีการรักษาคือรับประทานยาที่คอยลดปริมาณเลือดที่คั่งอยู่อย่างต่อเนื่องเป็นเวลาสองเดือน (ขึ้นอยู่กับคนไข้และอาการ) รู้สึกโล่งใจขึ้นมานิดนึงครับแต่เท่ากับว่ากิจวัตรประจำวันต่างๆหรือวิทยานิพนธ์ที่ยังเขียนค้างอยู่จะไม่สามารถดำเนินต่อไปได้ ในช่วงเวลานี้ (ยังมีไข้สูงอยู่) ผมก็ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการหาเพลงหรือวิทยุฟัง นั่งสมาธิหรือโทรศัพท์คุยกับเพื่อนและครอบครัวบ้างเป็นบางเวลาครับ

            พอใช้ชีวิตด้วยสภาพนี้ไปเรื่อยๆก็เริ่มเข้าใจว่าหากเป็นอักษรตัวใหญ่ๆก็จะสามารถอ่านหรือเดาความได้ ผมจึงต้องปรับไซส์ของ Skype ฟอนท์ไปที่ 40 หรือซูม Browser 250% เพื่อให้ขนาดใหญ่พอ รวมไปถึงถุงหรือป้ายยาต่างๆก็ต้องให้พยาบาลเขียนเป็นตัวใหญ่ๆกำชับแยกเป็นยาตามเวลาเช้า กลางวัน เย็น

อาหารมื้อแรกในรอบหนึ่งเดือน


            เมื่อเวลาผ่านไปร่างกายเริ่มสามารถสร้างเม็ดเลือดขึ้นมาได้ด้วยตัวเองในระดับหนึ่ง คุณหมอได้อนุญาตให้ผมทานอาหารมื้อแรกได้ตามที่ผมคอยเฝ้ารออยู่ตลอดเวลา ความรู้สึกแรกตอนนั้นเท่าที่จำได้ครับ ผมทานไม่หมดครับแม้ว่าอาหารที่ได้จะมีปริมาณไม่มาก ข้าวต้มมีน้ำกับข้าวอยู่ในอัตราส่วน 70 ต่อ 30 อย่างที่เห็นในรูปข้างต้น อีกทั้งแทบจะไม่รู้สึกถึงรสชาติของอาหารก็ว่าได้ครับ รู้สึกว่าอาหารทุกอย่างรสชาติจืดชืดไปหมด แต่มีความสุขมากๆครับ เพราะรอคอยมาอยู่หนึ่งเดือนเต็มๆ (ผมนับวันและภาวนาเช้าเย็นเลยก็ว่าได้) 

             ถึงขนาดนั่งค้นคว้าหาข้อมูลวิธีการเพิ่มจำนวนปริมาณของเกล็ดเลือดอยู่ตลอดเวลาด้วยซ้ำไปครับไม่ว่าจะเป็น เมนูอาหารที่ต้องทาน (แต่ผมทานอะไรไม่ได้หนิ)หรือกิจวัตรประจำวัน เข้าใจความรู้สึกของเวลาผมอ่านเจอข่าวหรือบทความที่ผู้ป่วยเป็นโรคที่รักษาไม่ได้แห่ไปรับการรักษาที่ดูไม่น่าเชื่อถือต่างๆจริงๆครับ ความรู้สึกที่ว่าทำยังไงก็ได้เสียอะไรก็ได้ขอให้หายเป็นปรกติก็พอ

และแล้วข่าวดีก็มาถึง
            เมื่อใช้ชีวิตแบบนี้ไปเรื่อยๆ โดยอาหารเริ่มจะเพิ่มปริมาณมากขึ้น ต่อมรับรสก็เริ่มจะทำงานเป็นปกติ อาการต่างๆก็ดีขึ้นเรื่อยๆเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์

เช้าวันจันทร์ถัดมาคุณหมอก็เดินเข้ามาถามแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยว่า ”พรุ่งนี้กลับบ้านมั้ย”

ผมแอบตกใจนิดๆแต่ตอบไปอย่างดีใจแกมสงสัยว่า “กลับสิครับ ได้จริงหรือครับ?

“ได้สิดูจากผลตรวจเลือดเมื่อเช้ามืดแล้วคุณแข็งแรงพอที่จะใช้ชีวิตข้างนอกได้ละ แต่แค่สี่วันนะเพราะว่าคุณจะไปเที่ยวตอนสงกรานต์ใช้มั้ยล่ะ ต้องกลับมาภายในวันศุกร์นี้นะ”

“ได้ครับ” ผมตอบกลับไปพร้อมยิงคำถามต่อไปว่า “แล้วสายน้ำเกลือนี่ทำยังไงครับ”

“ก็ต้องเอาออกเดี๋ยวค่อยกลับมาใส่เข้าไปใหม่รวมไปถึงต้องตรวจไขกระดูกอีกครั้งด้วยนะ บ่ายนี้จะทำการตรวจพร้อมแกะสายออกเลยละกัน” คุณหมอพูดพร้อมเอานิ้วชี้กระแทกเบาๆมาที่กลางหน้าอกของผม และเดินจากไปทิ้งให้ผมตกใจและหวาดกลัวอยู่ในห้องคนเดียว

อย่างที่บอกไว้ในตอนก่อนหน้านี้ การตรวจไขกระดูกเป็นการตรวจที่เจ็บมากครับ ทำเอาความดีใจที่ว่าจะได้ออกจากโรงพยาบาลในวันนั้นปลิวหายไปเกือบหมด และที่เป็นห่วงไม่แพ้กันคือสัมภาระซึ่งกองอยู่เต็มห้องพักที่โรงพยาบาลไม่รับฝากไว้แม้ระยะห่างแค่เพียงสี่วัน ไม่ว่าจะเป็นหนังสือ โน้ตบุ้ค เครื่องเล่นเกม หรือแม้แต่จอคอมพิวเตอร์ ผมจึงรีบโทรหาเพื่อนและแจ้งว่าจำเป็นต้องให้มาช่วยขนกลับไปในพรุ่งนี้เช้า และทยอยเก็บของลงกระเป๋าหรือถุงบางส่วน

ขึ้นเขียง

เมื่อถึงตอนบ่ายคุณหมอก็เดินเข้ามาพร้อมอุปกรณ์ต่างๆและนางพยาบาลผู้ช่วยหนึ่งคน
ทุกๆอย่างเป็นไปตามที่ได้พูดคุยไว้ก่อนหน้านี้รวมไปถึงความเจ็บปวดจากการโดนเจาะกลางหน้าอกด้วยสว่านมือที่ยาชาก็ไม่สามารถจะระงับความเจ็บปวดได้ในช่วงเวลาต่อมา (จนถึงปัจจุบันนี้ บางคืนผมยังเก็บเอาไปฝันร้ายแล้วตื่นมาด้วยความกลัวหลายต่อหลายครั้ง)

“เรียบร้อยแล้ว ทีนี้ก็เอามือกดผ้ากอซที่หน้าอกไว้ซัก 15-20 นาทีจนกว่าเลือดจะหยุดไหลนะ” คุณหมอพูดหลังจากพับเปิดผ้าที่ใช้คลุมจากหน้าของผมและกล่าวต่อไปอีกว่า “ทีนี้ก็ถึงคราวแกะสายน้ำเกลือที่ขาออกแล้วนะ”

“ขอพักซักพักไม่ได้เหรอครับ ผมยังไม่หายเจ็บเลยครับ” ผมแอบวิงวอนคุณหมอ

“ไม่เป็นไรๆ ที่ผมทำการปลดสายน้ำเกลือทีหลังก็เพราะว่าคุณจะได้เจ็บทีเดียวเนี่ยแหละ” คุณหมอยิ้มแสยะ

“...... ก็ได้ครับ รบกวนด้วยนะครับ” ผมไม่มีทางเลือกนอกจากรับสภาพต่อไป

เนื่องจากผมต้องนอนกดผ้ากอซต่อไป คุณหมอก็ทำการแกะไหมที่เย็บไว้และหันมาพูดถามกับผมอีกครั้งว่า

“จะให้บอกหลังจากดึงสายออกหรือบอกก่อนดึงสายออกดีครับ?

“เอ่อ... ตอนไหนก็ได้ครับ หลังจากดึงเสร็จแล้วก็ได้ครับ” ผมตอบด้วยความหวาดกลัวอาการเจ็บ

“นี่ไง ออกไปตั้งนานแล้ว” คุณหมอหัวเราะพร้อมถือสายยางน้ำเกลือที่อยู่ในร่างกายผมมาเป็นเวลาหนึ่งเดือนเศษๆ

“............. ขอบคุณนะครับ ” ตอนนั้นผมพูดอะไรไม่ออกครับ เหมือนโดนปั่นหัวนิดๆ แต่อาการเจ็บจากการตรวจไขกระดูกยังไม่หายไปจึงได้แต่นอนเฉยๆ

(คุณหมอท่านเป็นคนขี้เล่น ตอนผมโกนผมออกทั้งหมดคุณหมอก็แกล้งจำผมไม่ได้ หลังจากเดินเข้ามาก็ทำเป็นแกล้งตกใจแล้วหันหลังกลับไปชั่วครู่พร้อมพูดว่า “อ่าว เข้าผิดห้อง ขอโทษที” และอื่นๆอีกมากมาย)

ได้ออกมาแล้วครับ

เช้าวันรุ่งขึ้นผมก็ได้ออกจากโรงพยาบาลและไปพักอยู่ที่บ้านเพื่อนเป็นเวลาสี่วัน แน่นอนว่าผมไม่ได้ทำอะไรมากมายนอกจากออกตระเวณกินอาหารต่างๆ นอนพัก นั่งคุยและเดินทางกลับไปที่อพาร์ทเม้นท์เพื่อเก็บกวาดเป็นบางเวลา

และที่สำคัญผมได้อาบน้ำแล้วครับรู้สึกสดชื่นมากๆตัวเบาและไม่เหนียวเหนอะหนะอีกต่อไป ผมไม่ได้เล่าไปในช่วงก่อนหน้านี้ว่าผมได้อาบน้ำแค่สองครั้งในโรงพยาบาลครับ เพราะเนื่องจากผมยังมีสายน้ำเกลือติดตัวตลอดเวลา เมื่อจะอาบน้ำสระผม จำเป็นต้องแปะเทปกันน้ำบริเวณสายน้ำเกลือประกอบกับเมื่อเม็ดเลือดขาวมีปริมาณน้อยการอาบน้ำจะเป็นการเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อ ผมจึงถูกสั่งระงับและทำได้แค่เพียงเช็ดตัว ล้างหน้า แปรงฟันเท่านั้นครับ



แต่อย่างหนึ่งที่ผมรู้สึกอย่างชัดเจนคือ “เย็นหัวมากครับ” เพราะว่าผมทั้งหัวโดนโกนออกไปแล้วจึงต้องใส่หมวกคลุมเวลาออกนอกบ้าน (ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ของประเทศญี่ปุ่นยังถือเป็นฤดูหนาวโดยอากาศเฉลี่ยบริเวณจังหวัดโออิตะอยู่ประมาณ 5-6 องศา)

อย่างไรก็ตาม ผมมีความสุขมากๆครับ แม้ว่าจะเป็นช่วงเวลาสั้นๆแต่มันเป็นสี่วันที่ล้ำค่าจริงๆแค่ได้ออกมาเดิน หรือทำอะไรต่างๆด้วยตัวเองแล้วทำให้รู้สึกว่ามีความสุขมากๆที่ยังมีชีวิตอยู่ต่อมาจนถึงทุกวินาทีนี้

หรือว่ามรสุมชีวิตลูกใหม่จะเข้าอีก
            หนึ่งวันก่อนผมกลับเข้าโรงพยาบาล คือวันที่ 11 มีนาคม ระหว่างที่ผมกำลังเก็บของเตรียมตัวกลับเข้าไปรับการรักษาต่อ ผมคิดว่าทุกคนที่อ่านบทความนี้ทราบข่าวว่ามันเกิดอะไรขึ้นวันนั้นแน่นอนครับ ใช่แล้วครับมันเป็นวันที่เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวและสึนามิเกือบทั่วทั้งประเทศญี่ปุ่นโดยเฉพาะบริเวณฟุกุชิม่า โตเกียวและชิบะที่เป็นข่าวดังไปทั่วโลกเมื่อสองปีก่อนครับ ผมและเพื่อนตกใจมากๆครับในวันนั้นพวกเราไม่ได้ทำอะไรเป็นพิเศษโดยได้ทราบข่าวผ่านสื่อของประเทศญี่ปุ่น และแน่นอนว่าทุกคนได้รับการติดต่อจากเพื่อนๆครอบครัวที่อยู่ที่ไทยกันอย่างไม่ขาดสาย

ในตอนนั้นผมแอบคิดในใจว่า นี่ผมเพิ่งได้ออกมาจากโรงพยาบาลแค่สี่วันเองนะครับคุณพระเจ้า ถ้าผมจะตายจากสึนามิทั้งทีทำไมต้องส่งผมเข้าโรงพยาบาลก่อนละครับเนี่ย แต่สรุปแล้วจังหวัดที่ผมอยู่แทบจะไม่ได้รับผลกระทบใดๆจากการเกิดสึนามินี้เลยครับ ทำให้การรักษาก็เข้าสู่ช่วงที่สองได้ตามกำหนดการ

To be continued…

Friday, June 14, 2013

Perk Series Part-2: How I stayed with a cancer perk.

คำอธิบายเพิ่มเติม

            ขอผมอธิบายอย่างสั้นๆเกี่ยวกับโรคก่อนจะเล่าต่อนะครับ ผมพยายามตัดเนื้อหาและเขียนให้เข้าใจง่ายเท่าที่ผมจะทำได้ละครับ ต้องขอออกตัวว่าผมเองไม่ใช่หมอหรือเชี่ยวชาญด้านนี้ ถ้าหากผมเขียนผิดพลาด ผมยินดีรับฟังและแก้เนื้อหาให้ถูกต้องทันทีครับ ถ้าหากสนใจเนื้อหามากกว่านี้รบกวน Google หรืออ่านผ่านทาง Wikipedia ดูได้ครับมีเนื้อหาที่เขียนละเอียดดีๆ กว่าของผมเยอะครับ

            โดยคร่าวๆ โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาดแบ่งออกเป็นสองประเภทใหญ่ๆคือ Chronic(เรื้อรัง) กับ Acute(เฉียบพลัน) ครับ

            เริ่มที่ประเภทเรื้อรังก่อนนะครับ จากข้อมูลตามอินเตอร์เน็ตประเภทเรื้อรังจะมีการที่รุนแรงน้อยกว่าประเภทเฉียบพลัน แต่อาจจะรักษาหายได้ยากกว่า โดยบางประเภทอาจจะต้องรับการตรวจและรับประทานยาเป็นระยะๆ หากจะให้หายขาดอาจจะต้อง”เปลี่ยนถ่ายไขกระดูก” เหมือนที่บางท่านอาจจะเคยอ่านหนังสือ หรือดูผ่านหนังต่างๆ

            ส่วนอาการของผมเป็นแบบประเภทเฉียบพลันซึ่งตรงกันข้ามกับประเภทเรื้อรังโดยอาการจะรุนแรง (อันตรายอาจจะถึงชีวิต เหมือนในกรณีของผมแต่มีความน่าจะเป็นที่จะสามารถรักษาให้หายได้สูงกว่า โดยการทำเคมีบำบัด, ฉายรังสี และอื่นๆครับ

            เท่าที่ผมทราบในปัจจุบันสาเหตุหลักของการเกิดโรคยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด อาจเกิดจากกัมมันตภาพรังสี, การส่งต่อผ่านทางพันธุกรรม หรือสารเคมีรุนแรง และอื่นๆครับ อาการโดยคร่าวๆคือไขกระดูกไม่สามารถแบ่งเซลล์ได้เหมือนคนปกติทั่วไป ทำให้เม็ดเลือดขาว, เม็ดเลือดแดง รวมไปถึงเกล็ดเลือดจะมีปริมาณผิดปกติ โดยเม็ดเลือดขาวจะมีหน้าที่เป็นตำรวจปราบปรามผู้ร้ายในร่างกาย (เชื้อโรคต่างๆ), เม็ดเลือดแดงรวมไปถึงฮีโมโกลบินจะทำหน้าที่ลำเลียงออกซิเจนไปส่วนต่างๆของร่างกายและเกล็ดเลือดจะทำหน้าที่สมานแผลทำให้เลือดหยุดไหลครั

ผู้ป่วยโรคนี้เม็ดเลือดขาวจะมีมากกว่าความต้องการปกติแต่ในกรณีผู้ป่วยโรคนี้เม็ดเลือดขาวที่มีเซลล์มะเร็งเสียส่วนใหญ่ ร่างกายก็เปรียบได้กับการที่บ้านเมืองที่มีตำรวจตามท้องถนนมากมายแต่ไม่ได้ช่วยในการจับโจรผู้ร้ายแต่อย่างใด ทำให้บ้านเมืองไม่ได้สงบสุขแถมยังทำให้ประชาชนต้องเสียภาษีเพิ่มแทนที่จะเอาไว้ใช้ดำรงชีวิตต่อ (ไม่ได้พาดพิงไปในกรณีใดๆนะครับ)

ซึ่งในกรณีของผม ขอสันนิษฐานว่าเกิดจากความเครียด ทำให้เกิดกรดที่มากกว่าปกติในกระเพาะอาหาร และทำให้เกิดแผลภายใน ต่อมาเป็นเหตุให้เสียเลือดมากเพราะว่าเกล็ดเลือดต่ำ เลือดจึงหยุดไหลและเป็นที่มาของการล้มป่วยที่ได้กล่าวไปในตอนที่แล้วครับ ถ้าหากผมตรวจพบเจอก่อนหน้านี้อาการอาจจะไม่ได้รุนแรงเท่านี้ครับ เพิ่มเติมอีกนิดว่า ผมเป็นคนไม่สูบบุหรี่ ไม่ทานอาหารสำเร็จรูปจำพวกมาม่า เครื่องดื่มแอลกอฮอร์ก็ดื่มไม่เกิน 2-3 ครั้งต่อเดือน แม้ว่าอาจจะไม่ได้ออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องแต่ก็ออกบ้างในระดับหนึ่ง ผมจึงไม่เคยคิดซักครั้งว่าตัวเองจะป่วยได้แม้แต่นิดเดียวครับ

คืนแรกของ “ผู้ป่วยโรคมะเร็ง”

            หลังจากรู้ว่าตัวเองป่วยเป็นโรคมะเร็งชนิดหนึ่ง ก็ได้แจ้งให้เพื่อนๆทราบ ผ่านทางเฟสบุ้ค รวมถึงติดต่อครอบครัวไป (ยังมีหลายต่อหลายคนไม่เชื่อ มีหลายคอมเม้นท์ในเฟสบุ้คมาต่อว่าผมประมาณว่าอย่าล้อเล่นอะไรแบบนี้ มันไม่ตลกนะ) ถ้าจะถามความรู้สึกตอนนั้น ผมต้องขออภัยว่าความทรงจำช่วงนั้นเลือนลางมากจริงๆครับ ผมจำไม่ได้แม้กระทั่งว่าตัวเองร้องไห้ไปเพราะว่าป่วยรึเปล่าด้วยซ้ำไป โดยอาการยังทรุดต่อเนื่อง

เมื่อตกดึกคืนนั้นผมยังท้องเสียถ่ายเป็นเลือดเหมือนก่อนหน้าอีกเช่นเคย ซึ่งสาเหตุมาจากเกล็ดเลือดที่ปกติทำให้เลือดหยุดไหลหรือสมานแผลเข้าด้วยกันมีปริมาณน้อยมากกว่าคนปกติทั่วไป และในเวลาต่อมาก็หมดสติสลับกับสติเลือนลางด้วยสาเหตุเดิมเมื่อตอนล้มป่วยที่ว่าเม็ดเลือดแดงน้อยทำให้ออกซิเจนไหลเวียนได้ไม่ปกติ

แม้ว่าจะได้รับการถ่ายเลือดถึงห้าถุงในรอบ 24 ชม. เปรียบเสมือนขวดน้ำที่มีรูรั่วยังไงก็ไม่สามารถเติมให้เต็มได้ ไม่ว่าจะเทน้ำลงไปเยอะขนาดไหน ผมต้องหมดสติสลับกับหลับๆตื่นๆเนื่องจากความเพลียอยู่เป็นเวลาสองวัน พอมารู้สึกตัวอีกทีผมก็ถูกย้ายมาอีกห้องที่ใกล้กับเคาท์เตอร์ที่พยาบาลประจำชั้นอยู่ ช่วงนั้นผมปิดเสียงโทรศัพท์มือถือตัวเอง ทำให้ภายหลังโดนทางบ้านติเตียนอย่างหนักว่าทำไมถึงติดต่อไม่ได้ รวมทั้งเพื่อนๆก็ไม่สามารถตอบได้เช่นกัน เพราะว่าทางโรงพยาบาลงดการเข้าเยี่ยม ทางมหาลัยของผมเองรวมไปถึงทางสถานกงสุลไทยในประเทศญี่ปุ่นที่เพื่อนผมติดต่อไปก็ไม่สามารถสอบถามเรื่องได้อย่างละเอียดเพราะว่าถือเป็นข้อมูลส่วนตัวจำเป็นต้องให้ผมยินยอมที่จะให้เปิดเผยได้เสียก่อน
ระหว่างนี้ผมก็รับการตรวจส่วนอื่นๆของร่างกายอย่างต่อเนื่องจำพวก CT, MRI, X-ray, วัดคลื่นหัวใจและอื่นๆอีกมากมาย ก็รวมอยู่ด้วยเนื่องจากที่ได้แจ้งไปข้างต้นว่าเกล็ดเลือดต่ำทำให้เลือดหยุดไหลยาก หากร่างกายส่วนอื่นๆเป็นแผลโดยเฉพาะบริเวณสมองจะเป็นอันตรายอย่างมาก

เมื่อพ้นช่วงข้างต้นมาได้ ผมจำได้ว่าผมนอนจนปวดไปทั้งตัว หลายคนอาจจะไม่เข้าใจว่าเท่าไร คือลองจินตนการดูเวลานั่งทำงานนานๆ ตัวจะเมื่อยตึงไปเป็นส่วนๆใช่รึเปล่าครับ ส่วนผมก็เป็นในกรณีเดียวกันเนื่องจากต้องนอนท่าเดิมเกือบ 72 ชม. ทำให้ร่างกายปวดเมื่อยสุดๆ แม้ว่ากลับมาติดต่อกับเพื่อนๆและครอบครัวได้เช่นเดิม แต่ผมไม่สามารถแม้แต่จะลุกขึ้นนั่งได้อย่างปกติ

ข่าวร้ายชุดถัดมา

            ประเด็นที่ทำให้ผมรู้สึกทรมานมันเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งอย่างโดยคุณหมอที่ดูแลสั่งงดไม่ให้ผมรับประทานอาหารครับ เนื่องจากว่ามีความเป็นไปได้ว่าแผลในท้องยังไม่หายสนิท จึงควรที่จะลดภาระของการรักษาให้มากที่เท่าที่จะทำได้ หลายๆคนอ่านมาถึงตอนนี้อาจจะคิดว่า ไม่ต้องกินข้าวจะเป็นอะไรเลยหนิครับ ทำเป็นตะกละโอดครวญไปได้ แต่จริงๆแล้ว เป็นหนึ่งความลำบากที่ต้องตอบว่าถ้าไม่โดนด้วยตัวเองอาจจะไม่เข้าใจถึงความลำบาก ลองนึกง่ายๆแค่ต้องกินอาหารซ้ำๆกันแบบเดิมติดกันเรื่อยๆทุกๆมื้อ โดยให้ทานได้แค่น้ำเพิ่มเติมเท่านั้น (ไม่สามารถดื่มน้ำอัดลมได้ด้วยเช่นกัน) ซึ่งผมต้องทนเป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็มๆที่ไม่มีอะไรตกถึงท้องนอกจากยา, น้ำเปล่าและน้ำชาเท่านั้นครับ (ภายหลังได้รับอนุญาตให้ทานลูกอมกับหมากฝรั่งได้เนื่องจากไม่จำเป็นต้องย่อย) อีกทั้งน้ำดื่มข้างต้นในช่วงนี้ต้องดื่มวันต่อวันเท่านั้นครับ หากเปิดขวดแล้วดื่มไม่หมดภายในยี่สิบสี่ชั่วโมงไม่สามารถดื่มต่อได้เพราะว่าจะมีความเสี่ยงในเรื่องแบคทีเรียและจำเป็นต้องผลิตในญี่ปุ่นเท่านั้น (ทางโรงพยาบาลให้เหตุผลว่าน้ำที่ผลิดที่อื่นอาจจะมีแบคทีเรียหรือมาตรฐานที่ต่ำกว่า) โดยผมได้ทราบเรื่องนี้หลังผมขอร้องให้เพื่อนผมแบกน้ำในวันฝนตกมาให้หนึ่งโลก แต่ก็ต้องแบกกลับไปเนื่องจากเหตุผลนี้ครับ ถึงตอนนี้ผมยังโดนแซวอยู่เป็นระยะๆเช่นกันครับ

            ช่วงนี้โดยรวมผมทำการถ่ายเลือดและเกล็ดเลือดสลับเป็นช่วงๆ เพื่อไม่ให้อาการย่ำแย่ไปกว่านี้ แต่ก็ยังมีอาการที่ทรุดลงเป็นระยะๆ เนื่องจากผลข้างเคียงของยาที่ใช้รักษาจะทำให้เม็ดเลือดไม่ปกติ มีอยู่ช่วงหนึ่งออกซิเจนในร่างกายน้อยมากจนต้องใส่หน้ากากออกซิเจน และแน่นอนว่าตอนนี้ผมมีเครื่องวัดคลื่นหัวใจติดตัวตลอดเวลาเช่นกัน เวลาถ่ายปัสสาวะหรืออุจจาระก็ต้องให้พยาบาลช่วยพยุง และต้องใส่ผ้าอ้อมผู้ใหญ่เนื่องจากในบางเวลาเลือดยังไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง และอาจจะไม่ทันการหากอาการผมแย่ไปกว่านี้จนไม่สามารถลุกขึ้นได้อย่างปกติ แต่ผมทำใจไม่ได้และไม่ได้ถ่ายในผ้าอ้อมเลยครับ เพราะว่ายังไงก็รู้สึกผิดปกติ ที่ต้องขับถ่ายแบบนี้

มรสุมเริ่มผ่านไป

            ช่วงนี้เปรียบเสมือนฟ้าหลังฝนจริงๆครับ หลังจากเวลาผ่านมรสุมชีวิตมาได้ 2-3 วันอาการเริ่มทรงตัวขึ้นเรื่อยๆ สามารถลุกขึ้นได้ ยืนและเดินในระยะสั้นๆได้บ้าง ทางพ่อและน้องสาวก็ได้เข้ามาเยี่ยมได้มาพูดคุยในช่วงเวลาหนึ่ง พร้อมกับได้รับคำอธิบายเกี่ยวกับเรื่องโรคนี้พร้อมกับทำหน้าที่เป็นล่ามแปลให้พ่อและน้องสาวทราบ ก่อนหน้านี้เท่าที่ผมทราบคือต้องรักษาโดยเป็นระยะเวลาหนึ่งเดือน แต่มันกลายเป็นหนึ่งเดือนแค่ทำให้ร่างกายกลับมาเป็นปกติเฉยๆ หากจะต้องรักษาให้หายต้องใช้เวลาอีก 3 ช่วงเพื่อการทำเคมีบำบัดหรือที่ทราบกันในชื่อคีโมนั่นเองครับ


แต่ละช่วงจำเป็นต้องใช้เวลาโดยประมาณ 1 เดือนซึ่งระหว่างนั้นสามารถใช้ชีวิตภายนอกได้เหมือนคนปกติแต่ต้องทานยาอย่างต่อเนื่อง ช่วงนี้ผมอารมณ์ดีกว่าปกติมากๆ อีกทั้งทางบ้านผมสัญญาว่าจะมาเยี่ยมอีกครั้งและไปเที่ยวโตเกียวกันตอนช่วงสงกรานต์หรืออีกสองเดือนถัดไป (คุณหมอก็ยินยอม) ถือว่าเป็นข่าวดีในรอบหลายๆวันครับ

            เนื่องจากกรณีของผมต้องเคมีบำบัดเพื่อที่จะรักษาไขกระดูกให้กลับมาแบ่งเซลล์ได้อย่างปกติ รวมไปถึงปราบปรามเซลล์มะเร็งออกไปให้หมดด้วย แต่แน่นอนว่าข้อเสียในการทำเคมีบำบัดคือเซลล์เม็ดเลือดขาวดีๆก็จะต้องโดยลบออกไปด้วย จึงจำเป็นต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด ไม่งั้นอาการอาจจะรุนแรงได้

            การทำเคมีบำบัดในแต่ละรอบก็เปรียบเสมือนการทำลายล้างเซลล์มะเร็งแบบเดียวกับการเผาหญ้าในป่าบางส่วนเพื่อรอให้เซลล์ที่อุดมสมบูรณ์กว่าฟื้นฟูกลับมา จำนวนครั้งในการรักษาอาจจะไม่เท่ากันในแต่ละเคสของผู้ป่วย ซึ่งของผมเป็น 4 ครั้งตามที่ได้กล่าวไปข้างต้น โดยเมื่อเคมีบำบัดได้เข้าไปทำลายเซลล์ทั้งหมดนั้น จะทำให้เปรียบเสมือนร่ายกายที่ไร้การป้องกัน ทำให้สุ่มเสี่ยงเป็นโรคแทรกซ้อนได้ง่าย จึงจำเป็นต้องอยู่ในการดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างใกล้ชิดครับ พอร่างกายกลับอยู่ในช่วงฟื้นตัวก็จะสามารถออกไปใช้ชีวิตภายนอกได้ โดยระหว่างช่วงการทำเคมีบำบัดจะวัดผลได้จากการตรวจไขกระดูกเพื่อวัดระดับความผิดปกติในแต่ละครั้งครับ (ตอนที่คุณหมออธิบายถึงจุดนี้ ผมสะดุ้งและซึมไปซักพักครับ ข้อย้ำอีกครั้งว่าเจ็บมาก)

            หลังจากพ่อและน้องสาวของผมเดินทางกลับไปที่ประเทศไทยได้ไม่นานผมก็ได้ย้ายกลับไปห้องที่อยู่ตอนแรก เนื่องจากมีเครื่องค่าเชื้ออยู่ในห้อง โดยผมขอให้เพื่อนๆผมขนสิ่งที่ผมจะแก้เบื่อในช่วงเวลานี้ได้มาเกือบทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นหนังสือทั้งภาษาไทยและภาษาญี่ปุ่น หนังสือเรียนภาษาญี่ปุ่น เครื่องเกมทั้ง PSP, PS3 รวมไปถึง Laptop กับ Air Card 3G ที่ทำให้ใช้อินเตอร์เน็ตได้แม้ว่าความเร็วจะต่ำมากแต่ก็ยังใช้ติดต่อกับเพื่อนๆครอบครัวได้ (ขอบคุณทุกๆคนอีกครั้งที่ยอมเป็นธุระให้นะครับ)
ในช่วงนี้ผมเริ่มกลับมาสดใสกว่าเดิมเพราะว่าเหมือนได้พักอย่างเต็มที่ นอนแต่หัวค่ำ (ช่วงสี่ทุ่มโรงพยาบาลจะปิดไฟทั้งหมด) และตื่นแต่เช้ามืด (ประมาณตีห้าเศษๆต้องถูกปลุกมาตรวจเลือดที่ความถี่สองวันครั้ง) ช่วงนั้นผมแอบรู้สึกว่าถ้าอยู่แบบนี้หกเดือนก็ไม่ได้แย่เท่าไรเพราะว่างานอดิเรกของผมส่วนใหญ่สามารถทำต่อได้ ผมได้อ่านหนังสือที่อ่านค้างไว้, ดูหนัง, ละครที่ดองไว้แรมปีและอ่านหนังสือทบทวนความรู้ไปได้อย่างสบายๆ พร้อมกับการฝึกภาษาญี่ปุ่นไปในตัว เวลาที่มีก็เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลเพราะว่าไม่ต้องใช้เวลากับการเดินทาง การเตรียมหรือรับประทานอาหาร(โดนสั่งงด) และอื่นๆ

ไข้ขึ้นแต่ไม่ลด

แต่ชีวิตมันไม่ง่ายขนาดนั้นสิครับหลังจากผ่านมาได้ครึ่งทางของเดือนแรก (15 วันหลังจากเข้าโรงพยาบาล) ผมได้คอมตามที่ต้องการและวางแผนจะเริ่มเขียนปริญญานิพนธ์ให้เสร็จให้เร็วที่สุดเนื่องจากทราบว่าอาการไม่ทรงตัวเท่าไร ก็มีข่าวร้ายบั่นทอนกำลังใจเนืองๆ อย่างเช่นอาเจียนเป็นระยะๆ จนต้องฉีดยาระงับ (สามารถฉีดผ่านสายน้ำเกลือได้) ผมค่อยๆร่วงตกตามพื้นเตียงทุกๆวันเพราะผลข้างเคียงของการทำเคมีบำบัดจนต้องโกนผมออก หรือปริมาณเกล็ดเลือดไม่เพิ่มขึ้นเท่าไร (หมายความว่าผมจะไม่ได้รับประทานอาหารต่อไป) หรือใบสมัครงานที่ผมยื่นที่บริษัทต่างๆเริ่มผ่านแต่ผมไม่สามารถออกไปสัมภาษณ์ได้และอื่นๆอีกมากมาย

และแล้วก็มีไข้ขึ้นแม้ว่าจะอยู่ในห้องค่าเชื้อตลอดเวลา สันนิษฐานได้ว่าอาจจะเป็นเนื่องจากสิ่งของที่เพื่อนๆนำมาให้มีเชื้อโรคอยู่ภายใน ไข้พุ่งขึ้นซึ่งเฉลี่ยที่ 40 เศษๆ (มากสุดอยู่ที่ 42.5 องศา แม้ว่าจะทานยาลดไข้วันละ 3-4 ครั้ง (ตามที่ร่างกายสามารถรับได้มากที่สุด) ไข้จะลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 38-39 ซึ่งเป็นระดับของคนป่วยเป็นโรคไข้หวัดใหญ่ทั่วไปปวดหัว, ไม่มีแรง, ตัวร้อนสลับกับรู้สึกหนาวสั่นภายในแม้ว่าอาการในห้องจะเปิดเครื่องทำความร้อนตลอดเวลา จนสามารถบอกได้ว่าวันไหนไข้ต่ำกว่า 40 องศาเซลเซียสนั้นเป็นวันที่อาการจัดว่าดีแล้ว จนผมสามารถบอกได้ด้วยตัวเองว่าช่วงนี้ไข้กำลังจะขึ้นโดยไม่ต้องอาศัยปรอทวัดไข้แต่อย่างใด นี่เป็นอาการแรกของระยะที่ร่างกายจะอ่อนแอซึ่งผมก็ได้ผ่านการตรวจเช็คแล้วว่าเป็นไข้ที่เป็นอยู่นี้แค่แบคทีเรียทั่วๆไป ซึ่งแน่นอนว่าคนทั่วไปจะไม่มีอาการแบบเดียวกับผมแน่นอน ไม่ใช่ไวรัสอย่างไข้หวัดใหญ่ ผมจึงเข้าใจสภาพทันทีว่าทำไมโรคนี้ถึงเป็นโรคที่อันตราย อยู่ในสภาพแบบเดียวกันนี้ทุกๆวันตลอดสองสัปดาห์ (ลองจินตนาการตามว่าคุณมีไข้ล่าสุดเท่าไรและนานเท่าไรครับ)

ด้วยสาเหตุเดิมที่ว่าเกล็ดเลือดต่ำ แค่เดินพลาดเอาเท้าหรือหัวเข่ากระแทกกับโต๊ะ, เตียงหรือกำแพงด้วยความแรงสองเท่าของการเคาะประตู ก็ทำให้ผมมีแผลช้ำได้แล้ว ยิ่งไข้ขึ้นทำให้ควบคุมร่างกายได้ไม่เต็มที่จึงบอกได้ว่าช่วงนั้นผมกลายเป็นเสือดาวที่มีลายช้ำเป็นจ้ำๆอยู่ทั่วๆไป

ที่แย่ยิ่งกว่านั้น

หลังจากไข้ขึ้นสูงได้สองสามวัน ผมยังอดทนเล่นคอมบ้างบางเวลา แต่อยู่มาวันหนึ่งรู้สึกตาพร่า(เสมือนคนสายตาสั้นแต่ไม่ได้ใส่แว่น หรือใส่แว่นแต่แว่นโดนมัวราวกับมีไอน้ำเกาะตลอดเวลา) ในช่วงแรกก็ไม่ได้เอะใจซักเท่าไรคิดว่าเราคงเล่นคอมมากเกินไปร่างกายคงรับไม่ไหวมั้ง นอนพักสายตาก่อนละกัน แต่แล้วหลังจากผ่านไปหนึ่งวันอาการไม่ได้ดีขึ้นเลย ผมไม่สามารถอ่านตัวหนังสือได้แม้แต่น้อย แยกแยะใบหน้าของคนไม่ออก เห็นแค่สีเป็นบล็อคๆไป คือผมไม่สามารถจำความได้ว่าผมร้องไห้หรือเปล่าหลังจากที่ทราบว่าเป็นโรคนี้ แต่ผมจำได้อย่างแน่ชัดว่าตอนที่ผมมองไม่เห็นผมร้องไห้แน่นอนเป็นเวลานานมากด้วย ถ้าหากผมเกิดมองไม่เห็นแล้วชีวิตของผมก็คงไม่เหลืออะไรแล้วจริงๆ

นี่มันอะไรกันครับเนี่ย.... หรือว่าผมจะตาบอดแล้ว?????? แอบรำพึงกับตัวเองพร้อมด้วยน้ำตาที่ไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง

To be continued…

ปล. หากท่านใดมีคำถามอยากถามเพิ่มเติม โพสต์ลงคอมเม้นท์ด้านล่างได้เลยครับ ผมอ่านทุกคอมเม้นท์ครับ และหากท่านใดอยากจะแชร์บทความนี้ก็ตามแต่สะดวกเลยครับ ผมดีใจที่จะมีคนอ่านบันทึกของผมเพิ่มขึ้น และก็ขออภัยเพิ่มเติมที่ผมไม่สามารถเขียนได้เร็วไวซักเท่าไรอีกครั้ง เนื่องจากจำเป็นต้องเรียนและทำการบ้านที่ยุ่งในระดับหนึ่งครับ