Monday, July 22, 2013

อะไรคือซิเคียวริตี้ เกี่ยวกับกล้องวงจรปิดรึเปล่า [Information Security?!? Is it about watching security cams?]


            หลายๆคนอาจจะทราบหรือไม่ทราบว่าขณะนี้ผมกำลังเรียนต่อระดับป.โท อยู่ในสาขาวิชาที่ชื่อว่า Information Security ในก่อนหน้านี้ผมนึกว่าคำๆนี้จะเป็นที่รู้จักอย่างทั่วๆไป แต่ผิดคาดครับเมื่อผมบอกว่าผมกำลังเรียนสาขานี้อยู่กับเพื่อนของผม

บางคนทำหน้างง ยังถามผมกลับด้วยความสงสัย (ไม่รู้ว่าจะแซวจริงรึเปล่า) ว่า “ไปเรียนเป็นยามเหรอเพื่อน....”

“เฮ้ย ไม่ใช่ละครับ” ผมต้องรีบตอบกลับและอธิบายให้เข้าใจอย่างทันที



            บทความนี้ผมอยากจะอธิบายคร่าวๆเกี่ยวกับคำว่า Information Security มันคืออะไรและเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของเราๆ อย่างไรบ้างครับ

             Security ที่ว่านี้แปลตรงๆเป็นภาษาไทยได้ว่า ความปลอดภัยถ้าจะให้ยกตัวอย่างที่พวกเราใช้กันอยู่ก็คือ Password หรือรหัสผ่านครับ ซึ่งผมเรียนเกี่ยวกับวิธีการป้องกันข้อมูลต่างๆ ในโลกดิจิตอลในขณะนี้

            ความปลอดภัยของข้อมูลนั้น เกี่ยวโยงหลายๆด้านรวมอยู่ในสาขาวิชาที่ชื่อว่า Information Security ซึ่งถ้าหากจะให้บรรยายทั้งหมดก็คงจะยาวแหละครับ

ในบทความนี้ผมขอไม่อธิบายความรู้เชิงลึกไว้นะครับ ถ้าหากสนใจผมจะขอไปเรียบเรียงข้อมูลก่อนโพสในบล็อกถัดไปแทนนะครับ

นอกเหนือกจากนี้ เพื่อนๆหลายคนได้ถามผมต่อว่า “เรียนเป็นแฮกเกอร์เหรอ สอนแฮกหน่อยสิ”

ผมต้องขอตอบคำถามนี้ให้ทราบก่อนด้วยความเห็นส่วนตัวของผมคือ ผมได้เรียนวิธีการเช่นนั้นมาบ้างในปฏิบัติครับ อีกทั้งเพื่อนๆผมบางคนก็เคยเป็นแฮกเกอร์ก่อนมาเรียนด้วยซ้ำไป

แต่ทว่าระบบในสมัยนี้ค่อนข้างยากที่จะเจาะระบบเข้าไป ยิ่งถ้าหากเจ้าของข้อมูลสร้างตาม Standard ที่กำหนดไว้นั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย (เว้นแต่จะใช้รหัสผ่านที่ง่ายต่อการเดา หรือใช้วิธีการเข้ารหัสที่ล้าสมัย)

ระบบวินโดว์ที่หลายๆคนชอบตำหนิว่าออกแบบได้แย่และหนีไปใช้แมคกันหมด ผมต้องบอกว่าวินโดว์ออกแบบระบบป้องกันมาได้อย่างดีจนน่าทึ่งสำหรับผมเลยครับ แต่ทว่าการรักษาความปลอดภัยอาจจะไม่เต็มที่ ถ้าหากท่านใช้วินโดว์ของปลอมและไม่ได้อัพเดทอย่างตลอดเวลา (ขออนุญาตอย่าดราม่าหรือทำสงครามค่ายนะครับ ผมขอเป็นกลาง)

               อย่างที่ผมได้กล่าวไปข้างต้นว่าในสาขาของ Security นั้นมีอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นด้านการออกแบบ Policy, การออกแบบการเข้ารหัส, การรักษาความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้, การออกแบบระบบ, การตรวจสอบหลักฐานและอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งใช้ความรู้หลายๆด้านไม่ว่าจะเป็นด้านคณิตศาสตร์, เศรษฐศาสตร์, รัฐศาสตร์ ฯลฯ



สุดท้ายนี้หลายๆคนอาจจะสงสัยว่าแฮกเกอร์หรือเพื่อนๆของผมมีนิสัยเป็นอย่างไรบ้าง ผมขอเล่าตัวอย่างบางส่วนที่ผมเจอแล้วรู้สึกว่าพวกเขาแปลกกว่าคนทั่วไปนะครับ

-         อาจารย์ N อาจารย์ในคณะ

ตอนแนะนำข้อมูลทั่วๆไปก่อนเริ่มคลาส

ท่านกล่าวว่า “ห้ามอัพโหลด เอกสารหรือไฟล์พาวเวอร์พอยท์ขึ้นโดยเด็ดขาด” (ถึงตอนนี้ยังปกติ)

แต่ท่านกล่าวทิ้งท้ายต่อไว้ว่า “ถ้าหากผมเจอมันอยู่บนอินเตอร์เน็ต ผมสามารถแกะรอยได้แน่นอน"

"และคุณจะต้องลำบากแน่”

-       นาย S เพื่อนในกลุ่มวิชาหนึ่ง

นัดฉลองที่บ้านเพื่อนดูหนังเกี่ยวกับแฮกเกอร์เป็นกลายฉลองที่ทำโปรเจคเสร็จ

เหตุการณ์ที่ว่าเกิดจากผมแซวเล่นๆไปว่า “นี่หนังเก่าแล้วหนิ ไปโหลดบิทมาใช่มั้ย”

นาย S ตอบกลับมาอย่างน่าตาเฉยว่า “เออ แต่ว่าจะดูหนังแฮกเกอร์ทั้งที เราเลยจัดการแฮกเข้าไวไฟคนแถวนี้ แล้วใช้โหลดมาแหละ" 

"พวกเราไม่โดนตำรวจจับหรอก ไม่ต้องห่วง"เพื่อนเสริมต่อ 

"................"

ปล. (นาย S สามารถแฮกผ่านไวไฟที่เข้ารหัสแบบ WPA2 ซึ่งในขณะนี้เป็นที่ยอมรับว่าปลอดภัยด้วยซ้ำไป)

-         นาย H เพื่อนชาวญี่ปุ่น

ขณะขับรถกลับจากโรงหนังและกำลังจะส่งผมที่บ้า

ผมสังเกตุเห็นว่า GPS บอกทางไปอีกทางจากบ้านของเขา เลยแย้งไปว่า “นี่มันบอกมั่วหนิหว่า”

แต่นาย H กลับบอกมาว่า “ป่าวเลย เราตั้งบ้านของเราไว้ตรงนั้นเองแหละ" 

"อ่าว ทำไมหล่ะ"

"เผื่อรถโดนขโมยโจรจะได้ไปบ้านเราไม่ได้”

-         นาย C เพื่อนชาวไต้หวัน

ผมถามไปตอนพึ่งไปอเมริกาใหม่ๆพร้อมกัน

ผมถามไปว่า “นายๆ จะทำสัญญากับอินเตอร์เน็ตกับที่ไหนรึ”

นาย C กลับตอบกลับมาว่า “เดี๋ยวหาไวไฟที่ใช้ WEP ของชาวบ้านแล้วแฮกเอา (การเข้ารหัสไวไฟแบบที่ไม่ปลอดภัย) ประหยัดดี”

“มันใช่เหรอเพื่อน......”

ปล. นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเขียนบทความแบบนี้ ขาดตกบกพร่องอย่างไร รบกวนขอคอมเม้นท์ติเตียนด้วยครับ ขอบคุณครับ

Wednesday, July 10, 2013

Perk Series Epilogue: Whatever are left over from a cancer perk

บทความนี้จะเป็นบทความชิ้นสุดท้ายที่ผมจะเล่าเรื่องเกี่ยวกับอาการป่วยของตัวเองละครับ (อย่าพึ่งเบื่อกันนะครับ) ในครั้งนี้ผมจะเล่าถึงด้านดีๆจากโรคนี้บ้าง หลายคนอาจจะมองว่าผมดูโชคร้าย น่าสงสาร ในตอนแรกผมก็คิดแบบนั้นเหมือนกันครับ ช่วงที่ป่วยอยู่ผมเคยอ่านบันทึกของคนที่หายป่วยจากโรคร้ายต่างๆ และสิ่งที่ผมไม่เห็นด้วยมากที่สุดคือคนส่วนใหญ่กล่าวไว้ว่า 


พวกเขาจะไม่ยอมแลกประสบการณ์ตอนป่วยแบบนั้นกับสิ่งอื่นๆในชีวิต” 


             ผมในตอนนั้นคิดว่ามันบ้ามากเกินไปแล้วครับ ผมยอมแลกทุกสิ่งทุกอย่างกับสภาพในตอนนั้นเพื่อให้ตัวเองหายป่วยให้เร็วที่สุดด้วยซ้ำไปครับ

แต่ทว่าในตอนนี้ผมกลับรู้สึกว่าสิ่งที่ชื่อว่ามะเร็งมันไม่ใช่กรรม มันก็มีด้านที่ดีของมันเช่นกัน ผมขอเลือกใช้คำว่า “Cancer Perk” (ผมติดใจคำนี้จากหนังสือชื่อ “The Fault In Our Stars” ของ John Green

            ผมได้เรียนรู้อะไรหลายๆอย่างจากอาการป่วยและมันติดกับตัวผมตั้งแต่เวลานั้นมาตลอด ผมจึงอยากจะมาเล่าให้ทุกคนเข้าใจถึงเหตุผลดังกล่าว ที่ทำไมทำให้ผมมองประสบการณ์นี้ล้ำค่ามากที่สุดในชีวิตเหมือนกับคนอื่นๆครับ

ก่อนจะเล่าต่อไปผมขอออกตัวก่อนนะครับว่า ทั้งหมดนี้เป็นแค่บันทึกหรือความเห็นส่วนตัวของผมเท่านั้น ผมไม่ได้อยากจะเขียนบทความเพื่อจะตักเตือนหรือสั่งสอนใคร แค่อยากจะแชร์มุมมองประสบการณ์ในแบบของผมเท่านั้น 


Cancer Perk ทำให้....

ผม ... รู้จักการมองโลกทุกอย่างในแง่ดี

            ก่อนหน้าที่ผมจะล้มป่วย ผมรู้ตัวเองว่าเป็นคนที่คิดมากอยู่ตลอดเวลา ทำอะไรต้องให้ได้ดั่งใจตามที่หวังและชอบโทษตัวเองอยู่เสมอเมื่อทำผิดพลาดในสิ่งต่างๆ แต่พอมาเจอเหตุการณ์แบบนี้ ผมเจอกับความผิดหวังหลายต่อหลายครั้ง (ไม่ว่าจะเป็นอาการที่คาดไม่ถึง หรือโอกาสที่นับไม่ถ้วนที่ต้องหลุดลอยออกไป) มากจนทำให้ผมรู้จักคำๆนึงที่มีชื่อว่า “ปล่อยวาง”

คำว่า “ปล่อยวาง” ทำให้ผมดีใจกับทุกสิ่งทุกอย่างตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาลมา ผมดีใจกับการกลับมาใช้ชีวิตแบบคนปกติทั่วไป ความลำบากก็เหมือนเป็นสีสันของชีวิตเหมือนคอยเตือนว่าเรายังมีชีวิตอยู่ซะมากกว่า เมื่อผมเจอเหตุการณ์เครียดๆหรือลำบากๆ ผมก็แค่บอกกับตัวเองว่า “แล้วยังไงละ ก็ยังแข็งแรงอยู่ก็พอละหนิ” ในบางครั้งผมยังยิ้มออกมาเวลาที่ตัวเองเครียดๆ โดยไม่รู้ตัวด้วยซ้ำไปครับ

 ผม ... รู้ว่าสุขภาพนั้นไม่ยั่งยืน

            อย่างที่ผมเคยเล่าไปว่าผมเป็นคนที่อาจจะไม่ใช่คนที่แข็งแรงแบบนักกีฬา แต่ผมก็เล่นกีฬาออกกำลังกายบ้างในระดับคนทั่วไป ไม่สูบบุหรี่ ไม่ทานบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ไม่ติดเหล้า ไม่เคยล้มป่วยถึงขนาดนอนโรงพยาบาลมาก่อนตั้งแต่เกิดมา แต่พอผมเจอเหตุการณ์นี้ด้วยตัวเอง รวมไปถึงการที่ตามองไม่เห็นเป็นเวลาเกือบสองเดือน ผมรู้ว่าผมควรจะถนอมร่างกายให้มากกว่านี้เพื่อทำให้ผมยังสามารถดำเนินชีวิตอย่างที่ชอบต่อไปได้

ผมเคยได้ยินแต่คนรอบข้างของผมพูดว่า “คนเราไม่ป่วยหรือตายง่ายๆหรอก ทำงานหรือเที่ยวเล่นโต้รุ่งเป็นเรื่องปกติไป” (ผมเชื่อว่าหลายๆคนยังคิดแบบนั้นอยู่เพราะว่าแต่ก่อนผมก็เป็นเหมือนกัน) ผมปรับแนวคิดนี้ใหม่แล้วหันมาใส่ใจให้กับตัวเองมากขึ้นแทนครับ

            ผมเลือกที่จะพักเมื่อตัวเองเหนื่อยและเลือกที่จะไม่ฝืนตัวเอง ถ้าหากล้มป่วยอีกครั้งสิ่งที่กำลังทำอยู่จะล้มพังระเนระนาดลงมาและจะแย่ยิ่งกว่าถ้าหากผมไม่ได้ทำสิ่งที่ตัวเองชอบต่อไป

ผม ... รู้จักวิธีการใช้ชีวิตอย่างมีความสุข

            ผมได้เรียนรู้ว่าผมต้องให้รางวัลกับตัวเองอยู่ตลอดเวลา แน่นอนว่ามันเป็นที่มาของนิสัยหลายๆอย่างที่เปลี่ยนไป ผมเริ่มนิสัยที่จะแบ่งเวลาเพื่อมาเล่นหรือทำสิ่งที่ตัวเองอยากทำ เพื่อให้สบายใจมากที่สุด ผมฉลองกับสิ่งเล็กๆน้อยๆทุกสัปดาห์ ไม่ว่าจะเป็นหลังสอบเสร็จหรือแม้แค่หลังส่งการบ้าน ผมเรียนรู้ที่จะหาความสุขให้กับตัวเองด้วยวิธีต่างๆ

            แม้ว่าอาจจะเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีเสียเท่าไร เพราะการใช้เวลาไปกับสิ่งอื่นในช่วงที่ใกล้เดทไลน์ หลายๆคนอาจจะมองว่าผมไม่ทุ่มเทกับสิ่งที่ทำอยู่ แต่ในตอนนี้ผมมองว่าการใช้ชีวิตอยู่เป็นเรื่องสำคัญมากกว่าสิ่งอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นช่วงที่งานยุ่งสุดๆ ผมเลือกที่จะวางงาน การบ้านหรือธุระต่างๆ และมาเติมความสุขให้กับตัวเองเป็นประจำมากกว่า

ผม ... มีเพื่อนและคนรอบข้างที่ใครๆต้องอิจฉา

เคยได้ยินคำกล่าวนี้มั้ยครับ “เพื่อนกินหาง่าย เพื่อนตายหายาก” พวกเราต่างโดนสอนมาด้วยบทเรียนเดียวกันตั้งแต่เด็ก แต่มันกลับกันครับ เพื่อนๆทุกคนห่วงใยและคอยช่วยเหลือผมทุกๆอย่างจนกระทั่งผมหายป่วยเป็นปกติ ไม่ว่าจะเป็นกำลังใจจากทุกทาง หรือการช่วยเหลือต่างๆรวมไปถึงการมาเยี่ยม ซื้อขนมของกินมาฝาก เป็นเพื่อนพูดคุยทุกๆช่องทาง เวลาผมต้องนอนเหงาและเบื่ออยู่ในโรงพยาบาล (ทุกๆข้อความของเพื่อนๆช่วยให้ผมผ่านความยากลำบากทั้งหมดมาได้จริงๆครับ) จากเพื่อนที่แทบจะไม่เคยคุยกันยังติดต่อมาหา มาเข้าเยี่ยมและบางคนถึงกับกลายเป็นเพื่อนสนิทยิ่งกว่าเดิมด้วยซ้ำไป ถ้าหากว่าคำกล่าวข้างต้นเป็นจริง ผมก็คงเป็นคนที่โชคดีสุดๆ เพราะผมไม่เห็นว่าเพื่อนตายจะหายากกว่ายังไงเลยครับ

เก็บตก...ไม่รู้จะเล่าตรงไหนดี

1.      ตั้งแต่ผมเข้าโรงพยาบาลผมน้ำหนักลดไป 13 กิโลได้ แต่มันก็เพิ่มขึ้น 5 กิโลภายในห้าวันที่ผมออกจากโรงพยาบาลครั้งสุดท้ายแม้ว่าผมจะลดปริมาณการกินลง และสุดท้ายมันก็กลับมาเท่าเดิมภายในหนึ่งเดือน ผมจึงเข้าใจว่าการอดอาหารไม่น่าจะทำให้คนอย่างผมผอมลงได้ ถ้าหากไม่สามารถอดอาหารได้อย่างตลอดไป

2.      ผมนับถือคุณหมอและพยาบาลทุกคนมาก ตลอดหกเดือนที่อยู่ที่โรงพยาบาล ผมนับได้ว่าวันที่ผมไม่เจอคุณหมอ ไม่เกินสิบวันแน่นอนครับ รวมไปถึงช่วงวันหยุดยาวของญี่ปุ่น (โกลเด้นวีค) บางวันท่านมาแต่เช้าตั้งแต่หกโมง บางวันสามสี่ทุ่มผมก็ยังเห็นคุณหมอท่านทำงานอยู่ และที่สำคัญสิบวันที่ผมไม่ได้เจอคุณหมอนั้นผมทราบมาว่า คุณหมอท่านไปตรวจที่โรงพยาบาลอื่นด้วยซ้ำไป ผมเองเคยถามคุณหมอว่า ”ไม่มีวันหยุดบ้างหรือครับ” คุณหมอท่านตอบกลับมาว่า “ก็มีคนไข้ที่ต้องดูแลนะสิ”

3.      ผมได้รู้จักเพื่อนต่างวัยที่มีอายุห่างจากผมเกือบสี่เท่าตัว คุณลุงที่ป่วยเป็นโรคเดียวกัน(แต่คนละประเภท) ได้เป็นเพื่อนพูดคุยกันในช่วงเดือนสุดท้าย ก่อนคุณลุงแกจะถูกย้ายไปห้อง”ฆ่าเชื้อโรคในเวลาต่อมา ทำให้ผมรู้สึกว่าการพูดคุยกับผู้ป่วยโรคเดียวกันนั้นทำให้ผมรู้สึกมีกำลังใจที่ดีขึ้นมาก และเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ผมตัดสินใจมาเขียนเล่าบันทึกนี้ขึ้นมาครับ

EDIT:
4.  หลังจากผมทำเคมีบำบัด จากผมขาวที่เคยมีอยู่เนื่องจากพันธุกรรมตั้งแต่ชั้นประถมได้หายไปจนเกือบหมด รวมไปถึงผิวหน้าใส ไร้สิวมาเกือบๆสองปี เป็นข้อดีที่แปลกเหมือนผมได้รีเซ็ทตัวเองใหม่ประมาณนั้นก็ว่าได้ครับ ตอนที่เส้นผมเริ่มขึ้นมาใหม่ๆ เส้นผมนั้นเหมือนผมเด็กๆนุ่มและหยิก ซึ่งตรงกันข้ามกับแต่ก่อนที่เป็นเส้นใหญ่และแข็ง

สุดท้ายนี้ผมได้ค้นพบสิ่งสำคัญอีกอย่างจากอาการป่วยนี้ครับ นั่นคือผมสนุกกับการเล่าเรื่องมากและดีใจมากที่มีคนคอยอ่านและติชมเรื่องของผม ไม่ว่าจากช่องทางใดก็ตาม ถ้าหากผมไม่ได้ล้มป่วยผมอาจจะไม่มีเรื่องมาเล่าหรือ ไม่มีคนที่จะอ่านเรื่องของผมด้วยซ้ำไป ผมหวังว่าจะยังมีคนคอยติดตามอ่านเรื่องต่อๆไปที่ผมจะเล่าในอนาคตนะครับ

ถ้าหากถูกใจเรื่องของผม หรืออยากพูดคุยก็เชิญทักผ่าน Twitter ผมได้ที่ด้านขวามือ หรือที่ @zeal_cc ครับผมจะเร่งมือเขียนบทความออกมาใหม่เรื่อยๆ ถ้าหากไม่ถูกใจหรืออยากติชมใดๆ ก็เชิญคอมเม้นท์ไว้ได้เลยครับ ทุกคอมเม้นท์มันจะเด้งเข้ามาที่เมลล์ผม

.........ขอบคุณมากครับ.........

แถมครับ
ผมขอแนะนำบทความหนึ่งที่เป็นอีกแรงบันดาลใจที่ทำให้ผมมาเล่าถึงเรื่องของตัวเองนี้ ถ้าหากท่านไม่เคยอ่านหรือได้ยินบทความที่มีชื่อว่า “Top Five Regrets of the Dying” บทความนี้เป็นบทความที่ดีมากบทความหนึ่งครับ (ผมได้อ่านหลังจากดู TED Talk ของ Jane McGonigal)โดยบทความเล่าถึงความปรารถนาห้าข้อของผู้ป่วยที่ใกล้ตาย ถ้าหากท่านใดสนใจอ่านเพิ่มเติมเชิญได้ที่ลิงค์ด้านล่างครับ