Wednesday, September 11, 2013

ความอยากชั่ววูบนิสัยที่แก้ไม่หาย [Immediate Gratification, the habit that we cannot fix]



            สวัสดีครับ ช่วงนี้ผมเริ่มกลับมายุ่งๆอีกครั้ง บล็อกก็เลยต้องผลัดวันประกันพรุ่งไปหลายต่อหลายครั้ง ครั้งที่แล้วผมบอกไว้ว่าจะมาเล่าเรื่องการดักฟัง แต่ขอเปลี่ยนใจกระทันหันมาพูดถึงนิสัยที่แก้ไม่หายของมนุษย์เราแทนก่อนนะครับ ถ้าแปลเป็นไทยได้ก็ไม่น่าจะห่างไกลกับคำว่า “มักง่าย” ซักเท่าไร ถ้าจะเรียกให้ดูดีขึ้นมาหน่อยคือความอยากชั่ววูบละกันครับ

            ถ้าถามว่านิสัยที่ว่านี้มีข้อเสียยังไง ผมจะขอเก็บไว้ตอบด้านท้ายของบทความนี้ละกันนะครับ ก่อนอื่นลองมาดูตัวอย่างที่เราเห็นกันอย่างชัดๆก่อนเลยครับ

            ตัวอย่างแรกคือบัตรเครดิตครับ หลายๆคนอ่านมาถึงตรงนี้อาจจะสงสัยว่าเกี่ยวยังไง แต่ Dan Ariely ผู้เขียนหนังสือเกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์ที่ชื่อ “Predictably Irrational” หรือชื่อภาษาไทยว่า “พฤติกรรมพยากรณ์” ได้กล่าวถึงรายงานวิชาการเกี่ยวกับการเปรียบเทียบการใช้บัตรเครดิตซื้อของกับการใช้เงินสดซื้อของอย่างเดียวกัน พบว่าคนที่ใช้บัตรเครดิตจะจับจ่ายใช้สอยมากกว่า [1] (หากใครสนใจผมแนบเปเปอร์ไว้ที่ด้านล่างของบทความละครับ)

            บัตรเครดิตเป็นตัวอย่างที่ดีมากในเรื่องนิสัยนี้ คนเราก็ซื้อของที่อยากได้โดยไม่ได้คิดมากซักเท่าไร แล้วค่อยมาปวดหัวอีกทีตอนใบแจ้งหนี้ถูกส่งมาที่หน้าบ้าน ยิ่งในเคสของคนที่อยู่ในอเมริกาอาจจะหนักกว่าคนไทยหลายเท่าเพราะว่าบัตรเครดิตถูกใช้ซื้อของเกือบๆทุกอย่างไม่ว่าจะเป็น จ่ายค่ามิเตอร์จอดรถ, ซื้อกาแฟในสตาร์บัค ฯลฯ

            ลองมาดูตัวอย่างถัดไปอันยอดฮิตที่ผมว่าหลายๆคน (รวมทั้งผมด้วย) ต้องเคยทำ นั่นคือการผลัดวันประกันพรุ่งหรือภาษาอังกฤษที่ว่า “Procrastination” นั่นเองครับ ตัวอย่างนี้คงไม่ต้องคิดอะไรมาก มนุษย์เราก็แค่อยากจะสนุก อยากจะสบายก่อนที่เจอกับความลำบาก เท่าที่ผมทราบมาว่าวิธีแก้ก็คงไม่พ้นจากให้มองความสุขหลังจากที่เราทำงานนั้นๆเสร็จ แล้วเริ่มทำงานซะ ดีกว่าที่จะไปมองว่างานนั้นยุ่งยากแล้วผลัดไปทีหลังแทนนะครับ

            ตัวอย่างสุดท้ายที่ผมจะยกขึ้นมาคือ Privacy กับ Security ครับ ช่วงนี้ผมต้องขออนุญาตวกวนอยู่ที่สองหัวข้อนี้บ่อยหน่อยนะครับ เพราะว่ากำลังทำวิทยานิพนธ์ในด้านนี้อยู่ ไอเดียส่วนใหญ่ที่ได้มาเขียนบล็อกก็วนไปมาอยู่แถวๆนี้เท่านั้นแหละครับ เวิ่นเว้อมาอยู่นานขอวกกลับมาที่ตัวอย่างนะครับ

            คนเราส่วนใหญ่นั้นไม่ค่อยให้ความปลอดภัยด้านข้อมูลหรือความเป็นส่วนตัวของตัวเองซักเท่าไร อย่างเช่นตั้งรหัสผ่านง่ายๆ หรือแม้แต่การไม่ลงทุนเงินงบประมาณในระบบรักษาความปลอดภัยของบริษัท จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ที่มีความเสียหายแล้วค่อยมาเครียด ถ้าเรียกเป็นสำนวนไทยก็ต้องบอกว่า “วัวหายล้อมคอก” แต่ในตัวอย่างที่ว่านี้ดูค่อนข้างจะอันตรายและอาจจะส่งผลยาวนานกว่าแค่วัวฝูงหนึ่งที่หายวับไปเสียอีกครับ

            ซ้ำแล้วยังมีงานวิจัยที่ตอกย้ำนิสัยที่แก้ไม่หายนี้ของมนุษย์ด้วยว่า 70 เปอร์เซ็นต์ของผู้รับการทดลองยินดีที่จะแลกรหัสผ่านของคอมพิวเตอร์กับช็อคโกแล็ตหนึ่งแท่ง [2] ซึ่งความเสียหายอาจจะแผ่เป็นวงกว้างได้ไม่ยากถ้ารหัสผ่านที่ว่าเป็นคอมพิวเตอร์ของบริษัท แล้วถ้าคนร้ายหรือเข้าไปในเครือข่ายได้ความเสียหายอาจจะถึงขั้นรุนแรงเลยทีเดียวละครับ เช่นแพร่กระจายไวรัส หรือเจาะโพรงเครือข่ายไว้โจมตีต่อไป ทั้งนี้ทั้งนั้นสิ่งเหล่านี้ขึ้นอยู่กับมาตรการของแต่ละบริษัทด้วยเช่นกัน

            อ่านมาจนถึงตอนนี้แล้วผมคาดว่าผมคงไม่ต้องสรุปถึงข้อเสียต่างๆอย่างที่ได้สัญญาไว้แล้วละสินะครับ ข้อเสียจากนิสัยนี้มีมากจริงๆครับ ไม่ว่าจะเป็นความเสียหายภายหลังด้านข้อมูลหรือความเป็นส่วนตัว หรือผลเสียที่คาดไม่ถึงหรือไม่ทันได้คิดอย่างยอดค่าใช้จ่ายบนบัตรเครดิตตอนสิ้นเดือน หรือว่ากองงานที่สุมหัวเต็มโต๊ะ

            สุดท้ายแล้วนิสัยนี้เป็นนิสัยที่ยากจะแก้ได้ แต่ไม่ใช่ว่าจะแก้ไม่ได้ซะทีเดียวนะครับ ลองค่อยๆปรับค่อยๆแก้กันไป น่าจะมีอะไรดีขึ้นแหละครับ ลองที่จะเปลี่ยนรหัสผ่านให้มันปลอดภัยขึ้น, ทยอยๆทำงานที่ค้างไว้ หรือคิดก่อนจับจ่ายใช้สอยดูครับ วันนี้ขอลาไว้เท่านี้ก่อนละครับ ขอบคุณทุกท่านที่อ่านนะครับ

            ก่อนจากไปคุณคิดยังไงกับเรื่องลดภาษีรถคันแรกบ้างครับ หรือมีตัวอย่างดีๆอื่นๆเกี่ยวกับนิสัยนี้ ลองคอมเม้นท์ให้ความเห็นกันมาดูได้ครับ

References

[1]
B. News, "Passwords revealed by sweet deal," BBC News, 20 April 2004. [Online]. Available: http://news.bbc.co.uk/2/hi/technology/3639679.stm. [Accessed 11 September 2013].
[2]
E. Magen, C. S. Dweck and J. J. Gross, "The Hidden-Zero Effect: Representing a Single Choice as an Extended Sequence Reduces Impulsive Choice," Psychological Science, vol. 19, no. 7, pp. 648-649, 2008.